
นายพิศาฬเมธ แช่มโสภา อดีตผอ.ส่วนงานมหาเถรสมาคม สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ(พศ.)และผู้จบเปรียญธรรม 9 ประโยค บอกว่า กรณีกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ)เตรียมฟ้องดำเนินคดีสหกรณ์เครติดยูเนี่ยนคลองจั่นโดยระบุพระเทพญาณมหามุณี หรือพระธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายรับเงินบริจาคจากสหกรณ์ฯมีความผิดเข้าข่ายรับของโจรว่า ตามหลักพระธรรมวินัยในเรื่องของศีล 227 ข้อนั้นขึ้นอยู่กับเจตนาของพระสงฆ์ จะผิดพระธรรมวินัยหรือไม่ต้องพิจารณาจากเจตนาของพระสงฆ์
โดยองค์ประกอบของอทินนาทานมี 5 ข้อได้แก่ 1.วัตถุสิ่งของนั้นมีเจ้าของ 2.รู้ว่าวัตถุสิ่งของนั้นมีเจ้าของ 3. มีจิตคิดจะลักทรัพย์ 4.ทำความเพียรเพื่อลักทรัพย์นั้น และ5.ได้สิ่งนั้นมาด้วยความเพียรนั้น ถ้าพระสงฆ์เป็นผู้กระทำองค์ประกอบของอทินนาทานทั้ง 5 ครบและสำเร็จลงแล้วผลคือ พระสงฆ์ย่อมอาบัติปาราชิกทันที
นายพิศาฬเมธกล่าวอีกว่า หากพระสงฆ์รับเงินหรือเช็คบริจาค ทรัพย์จากญาติโยมมาโดยพระสงฆ์ไม่รู้ว่าเงินหรือทรัพย์ที่ถวายนั้นได้มาจากอย่างไรก็ไม่ผิดพระธรรมวินัยในทางตรงกันข้ามถ้าพระสงฆ์มีเจตนารับบริจาคเงินหรือเช็ค ทรัพย์มาจากญาติโยมทั้งที่รู้อยู่ว่าเงิน ทรัพย์นั้นได้มาโดยผิดกฎหมาย ก็จะเข้าข่ายผิดหลักธรรมวินัยเท่ากับภิกษุถือเอาของที่เจ้าของเขาไม่ได้ให้ ได้ราคา 5 มาสกหรือปัจจุบันมีราคา 1 บาท ต้องปาราชิก แต่เชื่อว่าพระส่วนใหญ่ในปัจจุบันที่ได้รับบริจาคเงิน สิ่งของต่างๆจากญาติโยมคงไม่ได้รู้ถึงที่มาเงินและสิ่งของต่างๆ
นายพิศาฬเมธ บอกด้วยว่า หลักพระธรรมวินัยยึดเจตนาของพระสงฆ์ สมมติกรณีพระขึ้นหลังคาโบสถ์แล้วทำกระเบื้องตกลงมาถูกญาติโยมเสียชีวิต พระไม่มีเจตนาในการกระทำนี้ซึ่งตามหลักพระธรรมวินัยพระไม่มีเจตนาแกล้งฆ่ามนุษย์ให้ตาย จึงไม่มีโทษปาราชิก
แต่ในทางโลกก็ต้องโทษคดีฆ่าคนตายเช่นเดียวกับกรณีหากพระสงฆ์รับเงินหรือเช็คบริจาค ทรัพย์จากญาติโยมมาโดยพระสงฆ์ไม่รู้ว่าเงินหรือทรัพย์ที่ถวายนั้นได้มาจากอย่างไรก็ไม่ผิดพระธรรมวินัย แต่จะต้องคืนเงินนั้นให้แก่ญาติโยมผู้บริจาค แต่ถ้านำเงินบริจาคมาสร้างโบสถ์ วิหารก็ไม่คงสามารถคืนได้