svasdssvasds
เนชั่นทีวี

สังคม

"วางแผน 4 ระยะควบรวมอาชีวะรัฐ-เอกชน"

13 กุมภาพันธ์ 2559
เกาะติดข่าวสาร >> Nation Story
logoline

อาชีวะรัฐ-เอกชน วางแผน 4 ระยะขับเคลื่อนการทำงานเพื่อการควบรวมเกิดประสิทธิภาพ ชัยพฤกษ์ เผยเตรียมชง ดาว์พงษ์ ลงนามประกาศ ศธ.โอนอำนาจ ทรัพย์สิน งบ บุคลากร เฉพาะของกลุ่มงานโรงเรียนอาชีวะของ สช.เดิม จำนวน 27 คนมาอยู่ในกำกับ สอศ.วันที่15ก.พ.นี้ ส่วนวิทยาลัยเอกชนยังมีอิสระบริหารจัดการตามเดิม ด้าน จอมพงศ์ นายกสวทอ.ชี้เป็นหน้าประวัติศาสตร์ของอาชีวศึกษาไทย มั่นใจจะทำให้การขับเคลื่อนอาชีวศึกษาประเทศมีประสิทธิภาพ

ตามที่ราชกิจจานุเบกษา เล่ม133ตอนพิเศษ42ง ลงวันที่12กุมภาพันธ์2559ประกาศคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)ที่8/2559เรื่อง การบริหารจัดการรวมสถานศึกษาอาชีวศึกษาภาครัฐและภาคเอกชน โดยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา44ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ.2547สั่งการให้โอนอำนาจหน้าที่ของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) ใน ส่วนที่เกี่ยวกับโรงเรียนในระบบ ประเภทอาชีวศึกษาไปเป็นอำนาจหน้าที่ของสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา(สอศ.)โดยมีผลบังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา เป็นต้นไปความคืบหน้าล่าสุด เมื่อวันที่13ก.พ.ที่สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา(สอศ.)ดร.ชัยพฤกษ์ เสรีรักษ์ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา(เลขาธิการ กอศ.)เป็นประธานประชุมการบริหารจัดการรวมสถานศึกษาอาชีวศึกษาภาครัฐและภาคเอกชน โดยมีรศ.ดร.จอมพงศ์ มงคลวนิช นายกสมาคมวิทยาลัยเทคโนโลยีอาชีวศึกษาเอกชนแห่งประเทศไทย(สวทอ.)ผู้แทนและเจ้าหน้าที่จากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน(สช.)สำนักงานคณะกรรมการศึกษาขั้นพื้นฐาน เข้าร่วม
ดร.ชัยพฤกษ์ กล่าวภายหลังประชุมว่า เนื่องจากคำสั่งหัวหน้า คสช.ที่8/2559กำหนดให้มีผลบังคับนับตั้งแต่วันถัดไปที่มีการประกาศ ซึ่งก็คือวันนี้ (13ก.พ.)ดังนั้นจึงได้เชิญทุกที่ประชุมฝ่ายมาประชุมร่วมกันเพื่อทำความเข้าใจในแต่ละประเด็นของคำสั่ง และเตรียมแผนการทำงาน เบื้องต้น กำหนดแนวทางดำเนินการเป็น4ระยะ ได้แก่ ระยะแรก คือ ช่วง2สัปดาห์ของเดือนก.พ.นี้จะมุ่งให้การเปลี่ยนผ่านเดินไปอย่างราบรื่นไม่สะดุด โดยเฉพาะการถ่ายโอนภารกิจ ทรัพย์สิน งบประมาณ บุคลากร ฯลฯ ซึ่ง สอศ.จะเร่งยกร่าง ประกาศกระทรวงศึกษาธิการ เรื่อง การโอนกิจการ ทรัพย์สิน งบประมาณบุคคล ฯลฯ เสนอให้ พล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ลงนามในวันที่15ก.พ.นี้ และวันเดียวกัน ตนจะทำหนังสือแจ้งไปยังผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา (สพป.) และผู้ว่าราชการจังหวัดใน5จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อมอบหมายให้การปฏิบัติภารกิจในการดูแลสถานศึกษาเอกชนเป็นไปตามเดิม ทั้งนี้ เพื่อให้การทำงานราบรื่นไม่สะดุด

"วางแผน 4 ระยะควบรวมอาชีวะรัฐ-เอกชน"


ระยะที่สอง เดือนมี.ค.-เม.ย.ถือเป็นช่วงสำคัญที่นักเรียน นักศึกษาจะจบการศึกษาจึงต้องระวังไม่กระทำการอะไรที่ส่งผลกระทบต่อเด็กไม่ได้ ดังนั้น จะเป็นช่วงที่ต้องเร่งบริหารจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อยมากที่สุด เพื่อให้เด็กได้เรียนจบตามแผนที่วางไว้ ระยะที่สาม เดือน พ.ค.เป็นต้นไปซึ่งเป็นช่วงเข้าสู่ปีการศึกษาใหม่ จะร่วมในการจัดการศึกษามากขึ้น โดยเฉพาะการรับนักเรียนในปีการศึกษา2559ซึ่งสอศ.กำหนดสัดส่วนรับนักเรียนสายอาชีพต่อสายสามัญอยู่ที่42:58โดย42%ของอาชีวะทั้งอาชีวะรัฐและเอกชนในจังหวัดนั้นจะต้องวางแนวทางส่งต่อเด็กร่วมกันอย่างไรก็ตาม สอศ.ไม่ใช่จะแย่งเด็กจาก สพฐ.แต่เราพบว่ามีนักเรียน7%ที่จบม.3แล้วไม่เรียนต่อแต่เข้าสู่ตลาดแรงงาน สอศ.จะไปจูงใจให้เด็กกลุ่มนี้มาเรียนสายอาชีพมากขึ้นและระยะสุดท้าย ช่วงที่จะต้องจัดทำงบประมาณปี2560ก็จะมีการวางแผนการพัฒนาระยะยาวร่วมกันต่อไป
ดร.ชัยพฤกษ์ กล่าวต่อว่า ทั้งนี้ ในช่วงแรก สอศ.จะรับโอนข้าราชการ พนักงานและลูกจ้างของกลุ่มงานโรงเรียนอาชีวศึกษาเอกชน สช.มาอยู่ในสังกัด สอศ.ทั้งสิ้น27คน ซึ่งจะมอบหมายให้รองเลขาธิการ กอศ.ทำหน้าที่กำกับดูแล โดยยังคงให้ปฏิบัติงานตามภารกิจที่ทำอยู่เช่นเดิมและจะค่อยๆเพิ่มปริมาณงานให้มากเพียงพอ เมื่อภาระงานมากขึ้นก็จะเสนอ รมว.ศึกษาธิการ จัดตั้งเป็นหน่วยงานระดับสำนักภายใน สอศ.และต่อไปอาจจะมีการยกร่าง พ.ร.บ.อาชีวศึกษาเอกชนด้วยแต่ระหว่างนี้วิทยาลัยอาชีวะเอกชนยังคงดำเนินการตามพ.ร.บ.โรงเรียนเอกชน พ.ศ.2550ไปก่อน
คำสั่ง คสช.ดังกล่าวถือเป็นประโยชน์อย่างมากที่อาชีวะรัฐและเอกชนจะมาร่วมกันผลิตกำลังคนได้ตอบสนองความต้องการของประเทศ ซึ่งต่อไปทั้งอาชีวะรัฐและเอกชนจะสามารถรวมพลัง เกิดการแลกเปลี่ยนความรู้วิชาการ และการใช้ทรัพยากรร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ และยืนยันว่าการควบรวมดังกล่าวจะไม่ส่งผลกระทบต่อการจัดการเรียนการสอน แน่นอน เพราะเรายึดหลักการทำงานอย่างเป็นเอกภาพ ให้อิสระในการจัดการศึกษา แต่เป้าหมายสำคัญคือร่วมขับเคลื่อนการอาชีวศึกษาของประเทศให้มีประสิทธิภาพ โดยเมื่อควบรวมแล้วจะทำให้มี สอศ.มีวิทยาลัยอาชีวะอยู่ในกำกับดูแลทั้งสิ้น886แห่ง และมีนักเรียนสิ้น976,615คน แบ่งเป็น วิทยาลัยอาชีวะรัฐ จำนวน425แห่ง นักศึกษา674,113คน และวิทยาลัยยอาชีวะเอกชนจำนวน461แห่ง นักศึกษา302,502คนดร.ชัยพฤกษ์ กล่าวและว่า ทั้งนี้ การรวมอาชีวศึกษารัฐและเอกชนครั้งนี้เป็นเพียงการโอนบุคลากร ภารกิจที่อยู่ในกำกับของ สช.มาอยู่ในกำกับของ สอศ.ไม่เกี่ยวข้องกับการบริหารงานของวิทยาลัยอาชีวศึกษาเอกชน

"วางแผน 4 ระยะควบรวมอาชีวะรัฐ-เอกชน"


ด้าน รศ.ดร.จอมพงศ์ มงคลวนิช นายกสมาคมวิทยาลัยเทคโนโลยีและอาชีวศึกษาเอกชนแห่งประเทศไทย (สวทอ.) กล่าวว่า ส่วนตัวรู้สึกยินดีอย่างมากและรอการประกาศชัดเจนมาตลอด เพราะในการประชุม สวทอ.ในเดือนกันยายน2558ที่ผ่านมาที่ประชุมมีมติเอกฉันท์ที่ต้องการให้เกิดการรวมอาชีวศึกษาเอกชนและอาชีวศึกษาของรัฐเข้าด้วยกัน เพื่อความเป็นเอกภาพของการจัดการศึกษา ทั้งในเรื่องการยกระดับคุณภาพการเรียนการสอน มาตรฐานวิชาการ ซึ่งจะทำให้การผลิตกำลังคนของอาชีวศึกษาไทยสอดคล้องกับและตรงกับความต้องการของภาคอุตสาหกรรม การบริการ ท้องถิ่น กลุ่มคลัสเตอร์ รวมถึงการรวมกลุ่มประชาคมอาเซียนด้วย
คำสั่งนี้จะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อทุกภาคส่วน โดยเฉพาะประเทศชาติและอุตสาหกรรม ที่ผ่านมาทางอาชีวะเอกชนก็มีเตรียมพร้อมวางโครงสร้างอาชีวะเอกชนระดับจังหวัด มีการสร้างความเข้าใจเพื่อเตรียมการรองรับไว้อยู่แล้ว เชื่อว่าจากนี้มาตรฐานหลักสูตรต่างๆ ที่ร่วมกับหน่วยงานต่างๆจะเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ซึ่งวันนี้ถือเป็นวันประวัติศาสตร์ที่ทำให้อาชีวะรัฐและเอกชนรวมตัวกันได้เป็นอาชีวศึกษาของประเทศไทย อย่างไรก็ตาม ผมยืนยันว่าไม่มีผลกระทบ เรายังสามารถบริหารงานจัดการได้อย่างอิสระมั่นใจว่าไม่มีผลกระทบ หากมีเรื่องที่ต้องการตัดสินใจที่รวดเร็ว เพื่อบริการจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพผู้บริหารอาชีวะเอกชนก็ยังคงทำได้ปกติ และเชื่อว่าข้อจำกัดปัญหาเรื่องการประสานงานต่างๆจะหมดไปรศ.ดร.จอมพงศ์ กล่าว

logoline