อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหิดล นพ.อุดม คชินทร บอกว่าตลอด 10 ปีที่ผ่านมามหาวิทยาลัยได้พยายามติดตามขอให้ทันตแพทย์หญิง(ทพญ.)ดลฤดี จำลองราษฎร์มาชดใช้ทุนที่ไปเรียนต่ออเมริกา แต่มหาวิทยาลัยก็ไม่เคยได้รับการติดต่อขอชดใช้ทุน รวมถึงการขอขยายเวลาใช้ทุนตามที่ ทพญ.ดลฤดีชี้แจงมายังสื่อ โดยขอยืนยันว่าการดำเนินการของมหาวิทยาลัยเป็นไปตามขั้นตอนทางกฎหมาย ซึ่งขั้นตอนต่างๆ อาจล่าช้าไม่ได้รวดเร็ว โดยมหาวิทยาลัยได้พยายามเต็มที่ ที่จะช่วยเหลือเยียวยาทุกฝ่ายโดยผู้ค้ำประกันนั้นมหาวิทยาลัยก็ช่วยเหลือจนชดใช้ทุนแทนเพียงส่วนหนึ่ง ไม่ต้องจ่ายทั้งหมด ขอยืนยันว่ามหาวิทยาลัยไม่ได้สมรู้ร่วมคิดกับใครในเรื่องนี้ ทำทุกอย่างตามขั้นตอนกฎหมาย และทุกเรื่องมีหลักฐานชัดเจน จึงอยากให้ทุกฝ่ายเข้าใจว่ามหาวิทยาลัยทำเต็มที่แล้ว นพ.อุดม บอกด้วยว่า กรณีการลาออกของทพญ.ดลฤดีที่หลายคนข้อสงสัยว่ามหาวิทยาลัยใช้ระเบียบ ก.พ.ว่าด้วยการลาออกจากราชการของข้าราชการพลเรือนสามัญ พ.ศ.2551 ในการพิจารณา ทั้งที่ ทพญ.ดลฤดี ลาออกเมื่อปี 2547 นั้น ทุกอย่างเป็นไปตามขั้นตอนการตีความทางกฎหมาย ซึ่งก่อนอนุญาตให้ลาออก มหาวิทยาลัยได้ตรวจสอบอย่างละเอียด โดยให้ฝ่ายกฎหมายพิจารณาตีความ พบว่า การลาออกกับการไม่ใช้ทุนเป็นคนละมิติ ไม่สามารถยับยั้งการลาออกได้
นอกจากนี้มหาวิทยาลัยได้ยื่นเรื่องขอความคิดเห็นไปยังสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา(สกอ.)และสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) พิจารณาแล้วว่าทางมหาวิทยาลัยจะสามารถยับยั้งหรืออนุญาตให้ลาออกได้หรือไม่ ซึ่งขณะนั้นสกอ.และกพ.เห็นพ้องว่าไม่สามารถยับยั้งทพญ.ดลฤดีลาออกได้
มหาวิทยาลัยจึงได้อนุญาตให้ ทพญ.ดลฤดี ลาออก และการลาออกของทพญ.ดลฤดีก็ไม่ได้หมายความว่าจะหนีความผิด ไม่ต้องชดใช้ทุน แต่เพื่อความสบายใจและความชัดเจนแก่ทุกฝ่าย จะให้ฝ่ายกฎหมายของมหาวิทยาลัยตรวจสอบอีกครั้งในกรณีที่นำระเบียบ ก.พ.ของปี 2551 มาชี้แจง
อธิการบดี ม.มหิดล บอกด้วยว่าส่วนการยื่นฟ้อง ทพญ.ดลฤดี ต่อศาลสหรัฐอเมริกานั้น ขณะนี้มหาวิทยาลัยได้ปรึกษากันว่าจะฟ้องร้องได้หรือไม่ เพราะมีความเห็นทางกฎหมายหลากหลาย เป็นเรื่องการตีความซึ่งบางคนบอกว่ายื่นฟ้องได้ บางคนบอกว่าไม่ได้
ดังนั้น ก่อนที่จะยื่นฟ้องต้องพิจารณาโดยละเอียด หากฟ้องร้องจริง อาจต้องให้อัยการสูงสุดเป็นผู้ดำเนินการแทน เพราะไม่ใช่เงินของมหาวิทยาลัย เป็นเงินของรัฐบาล มหาวิทยาลัยเป็นเพียงตัวกลางในการประสานและดำเนินการตามกฎหมาย