รัฐมนตรกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พล.อ. ฉัตรชัย สาริกัลยะ บอกว่า กระทรวงเกษตรฯ ผลักดัน พระราชกำหนดประมงและผ่านความเห็นชอบของสภานิติบัญญัติไปแล้ว โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 26 พ.ย.นี้เป็นต้นไป เป็นไปตามข้อชี้แนะของคณะทำงานของสหภาพยุโรปหรืออียู ที่เข้ามาตรวจสอบระบบการทำงานของไทย กรณีที่ได้ใบเหลืองจากการทำประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงานไร้การควบคุม หรือไอยูยู
รัฐบาลและทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ประสานการทำงาน โดยมีศูนย์บัญชาการแก้ไขปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย เป็นหน่วยงานหลักในการขับเคลื่อน เพื่อขจัดปัญหาให้หมดไป มีเป้าหมายสูงสุด นอกเหนือจากการพิจารณาปลดใบเหลืองของอียู คือการทำประมงจะต้องมีความยั่งยืนต่อทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่ให้ได้ ซึ่งเป็น กฎเกณฑ์ของโลก
สำหรับการตัดสินของอียูนั้น ในต้น เดือน ม.ค. นี้ทางคณะทำงานของอียูจะเข้ามาตรวจสอบระบบการทำงานของไทยอีกครั้ง ซึ่งจากการที่รัฐบาลไทยให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย และประสานการทำงานอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้มีความใกล้ชิดกับอียู และแก้ไขปัญหาในภาพรวมได้ตรงจุดยิ่งขึ้น
ด้านรองนายกรัฐมนตรี สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ให้มุมมองการแก้ไขปัญหาไอยูยูไว้โดยบอกว่า ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร ขอให้กระทรวงเกษตรฯโดยกรมประมงดำเนินการต่อเนื่อง จนกว่าต่างชาติจะยอมรับ ไม่ต้องเกรงใจภาคธุรกิจ เพราะกรณีนี้จะไม่เกิด ถ้านักธุรกิจไม่ทำ การตอบกลับมาของอียู เห็นได้ชัดว่าอียูไม่ ต้องการเล่นงานประมงขนาดเล็ก แต่ต้องการจัดการระดับกลางกับใหญ่ขนาดตั้งแต่ 60 ตันกรอสขึ้นไป เนื่องจากกลุ่มนี้มีอำนาจ ทำให้ประมงขนาดเล็กได้รับความเดือดร้อนตามไปด้วย
ไม่ว่าไทยจะได้ใบแดงหรือไม่ ถ้าได้ก็อย่าเสียกำลังใจ แต่ต้องประกาศเจตนารมณ์ว่าจะแก้ไขปัญหาให้ถึงที่สุด อย่าทำให้ภาพลักษณ์ ของประเทศเสียหายไปมากกว่านี้ และต่อไป ขอให้กรมประมง เร่งแก้ไขปัญหาการทำประมงผิดกฎหมายอย่างต่อเนื่อง