ปฎิรูปบัตรทอง สิ่งไหนควรทำและไม่ควรทำ

ที่ปรึกษาสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทยหรือทีดีอาร์ไอ ดร. วรวรรณ ชาญด้วยวิย์ บอกว่าระบบประกันสุขภาพถ้วนหน้าของไทย ซึ่งไดรับการยอมรับจากหลายประเทศกําลังอยู่ภายใต้แรงกดดันด้านงบประมาณ และมีความเสี่ยงที่จะถูกลดทรัพยากร และลดบทบาทลงจนกลายเป็นระบบเฉพาะผู้ป่วยยากจน จากความไม่เข้าใจของรัฐบาล .....
การวิจัยของทีดีอาร์ไอเรื่องค่าใช้จ่ายในระยะสุดท้ายก่อนเสียชีวิตของผู้สูงอายุที่เป็นโรคเรื้อรัง 5 โรค คือเบาหวาน ความดันโลหิตสูง หัวใจ หลอดเลือดสมองและมะเร็ง พบว่า ผู้สูงอายุมีค่าใช้จ่ายด้านการรักษาเฉลี่ยประมาณ 60,000 บาท ซึ่งถือว่าสูงสําหรับคนมีรายได้ปานกลาง และประมาณร้อยละ 5 ของผู้เสียชีวิต มีค่าใช้จ่ายเกินกว่า 2 แสนบาท
ปัญหาก็คือ ปัจจุบันรัฐให้การสนับสนุนค่าใช้จ่ายของผู้ป่วยในที่ใช้บัตรทองต่ำเกินไป ซึ่งทําให้อัตราการจ่ายค่ารักษาพยาบาลผู้ป่วยในแก่สถานพยาบาลระดับสูง เช่น โรงพยาบาลศูนย์ โรงพยาบาล มหาวิทยาลัย และโรงพยาบาลทั่วไป ต่ำกว่าอัตราการจ่ายของสวัสดิการข้าราชการมาก การเข้าถึงโรงพยาบาลระดับสูงของผู้ป่วยบัตรทองจึงต่ำกว่ามากตามไปด้วย
ทีดีอาร์ไอเสนอให้รัฐทบทวนการจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้แก่สถานพยาบาลสําหรับผู้ป่วยใน และผู้ป่วยเรื้อรังให้เหมาะสมขึ้น แต่ด้วยงบประมาณที่จํากัด ในเบื้องต้นควรจัดสรรงบผู้ป่วยนอกและ ผู้ป่วยในใหม่ โดยผู้ป่วยนอกที่ไม่ได้ป่วยด้วยโรครุนแรง ควรร่วมจ่ายด้วย โดยเฉพาะการร่วมจ่ายค่ายา นอกจากนี้กระทรวงสาธารณสุขควรเพิ่มบทบาทการ กํากับดูแลระบบให้มากขึ้น และลดบทบาทการเป็นผู้ใหบริการเองลง
แรงกดดันเรื่องค่าใช้ที่สูงขึ้นทุกปี จะทำให้กองทุนนี้เปลี่ยนรูปแบบหรือเดินไปในทิศทางเดิม เป็นเรื่องที่ต้องติดตามต่อไป