
เมื่อวันที่ 3 กค. ผศ.ดร.ณรงค์ พุทธิชีวิน รองประธานคณะกรรมาธิการปฏิรูปการศึกษาและการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ในสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) และอดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี และในฐานะนักวิชาการได้ให้ความเห็นกรณีประกาศรับสมัครงานของธนาคารไทยพาณิชย์ในตำแหน่งที่ปรึกษาทางการเงินฝึกหัด ที่ระบุคุณสมบัติว่า ต้องจบจากมหาวิทยาลัยเฉพาะ 14 สถาบันเท่านั้นว่า ตนยังไม่อยากจะเชื่อว่ากระบวนการในการออกประกาศไม่น่าจะมาจากบอร์ดไทยพาณิชย์ น่าจะเป็นเพียงความคิดอันคับแคบของฝ่ายบุคคล แต่ส่งผลเสียหายร้ายแรงต่อภาพลักษณ์ขององค์กร แต่หากเป็นนโยบายจากบอร์ดเองก็ถือเป็นทัศนคติที่ผิดพลาดอย่างใหญ่หลวง เพราะธนาคารยุคใหม่ล้วนแล้วแต่ให้โอกาสคน หากธนาคารไทยพาณิชย์ยังยึดติดกับความเชื่อตกยุคแบบเก่า ๆ ก็นับว่าเสียดาย และจะกลายเป็นว่าธนาคารเองที่เป็นฝ่ายเสียโอกาสในการที่จะได้คนดี ๆ ไปทำงานด้วย
ผศ.ดร.ณรงค์กล่าวต่อไปว่า มหาวิทยาลัยราชภัฏทั้ง 40 แห่ง มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลทั้ง 9 แห่ง และมหาวิทยาลัยอื่น ๆ ควรจะทำหนังสือยื่นไปที่บอร์ดไทยพาณิชย์และบอร์ดธนาคารแห่งประเทศไทย เพราะการกระทำดังกล่าวทำให้สถาบันการศึกษาหลายแห่งได้รับความเสียหาย สะท้อนการเลือกปฏิบัติ การไม่ให้โอกาส และการสร้างความเหลื่อมล้ำให้กับระบบการศึกษาของประเทศ ซึ่งเหล่านี้ล้วนเป็นประเด็นสำคัญของการปฏิรูปการศึกษาที่ สปช.กำลังพยายามแก้ปัญหาอยู่
"ปัจจุบันการจัดการศึกษาของแต่ละมหาวิทยาลัยมีมาตรฐานที่ใกล้เคียงกัน ไม่ได้แตกต่างกันมากนัก การที่ธนาคารเอาความรู้สึกมาตัดสิน ไม่ได้ใช้ข้อเท็จจริงประกอบ ทำให้หลาย ๆ ฝ่ายเกิดความเสียหาย ทั้งตัวธนาคารเอง มหาวิทยาลัยและมาตรฐานการจัดการศึกษารอง กมธ.การศึกษาฯ กล่าว
ต่อกรณีที่มหาวิทยาลัยราชภัฏทั้ง 40 แห่ง มีมติยกเลิกการทำธุรกรรมทางการเงินทั้งหมดกับธนาคารไทยพาณิชย์นั้น ผศ.ดร.ณรงค์ให้ความเห็นว่า อาจยังเร็วเกินไปที่จะทำแบบนั้น อยากให้ได้คำตอบที่ชัดเจนก่อนว่า เป็นนโยบายจากบอร์ดไทยพาณิชย์หรือเป็นเพียงความคิดแคบ ๆ ของฝ่ายบุคคล หากประจักษ์ชัดแล้วว่าเป็นนโยบายจากบอร์ด มหาวิทยาลัยราชภัฏก็มีสิทธิ์ที่จะตอบโต้ ทั้งยังสามารถยกระดับไปสู่การรณรงค์ให้ประชาชนทบทวนการสนับสนุนธนาคารไทยพาณิชย์ได้ด้วย เนื่องจากพฤติการณ์ดังกล่าวถือเป็นแบ่งแยกชนชั้นอย่างน่ารังเกียจ
"มหาวิทยาลัยราชภัฏ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลและมหาวิทยาลัยอื่น ๆ ก็ต้องสร้างความมั่นใจให้กับนักศึกษาว่า อย่าไปท้อใจกับวิธีคิดแคบ ๆ ของคนเพียงไม่กี่คน มหาวิทยาลัยที่ไม่อยู่ใน 14 สถาบันยิ่งต้องประกาศคุณภาพของตนให้เป็นที่ประจักษณ์ ทำให้สังคมเห็นว่าคุณภาพของนักศึกษาและบัณฑิตไม่ได้อยู่ที่ชื่อสถาบัน แต่อยู่ที่การจัดการเรียนการสอน และความคิดประเภทคลั่งสีคลั่งสถาบันซึ่งเป็นความคิดที่ชำรุดทางประวัติศาสตร์ก็สมควรได้รับการสังคายนาด้วย" รองประธานคณะกรรมาธิการปฏิรูปการศึกษา ฯ ให้ความเห็น