ร้อง ตร.ดำเนินคดีสถานบันเทิงให้พริตตี้ใส่ชุดพยาบาลบริการแขก

รศ.ดร.จินตนา กล่าวว่า การยื่นหนังสือร้องเรียนครั้งนี้ สืบเนื่องจากก่อนหน้านี้มี สถานบันเทิงชื่อมิสเตอร์ ยู บาร์ แอนด์ เรสเตอรอง ภายในซอยรามคำแหง 174 นำแผ่นป้ายโฆษณาขนาดใหญ่ โดยในแผ่นป้ายมระบุข้อความว่า Party nerse 14/02/58 โดยมีนางแบบเป็นพริตตี้สาวสวยมากมาย รวมถึงพีอาร์ของร้านที่เป็นผู้หญิง สวมใส่ชุดพยาบาล และยังเผยแพร่โฆษณาในสื่อโซเชี่ยลมีเดียมากมาย ซึ่งการกระทำดังกล่าวให้วิชาชีพพยาบาลเสื่อมเสียชื่อเสียง ประชาชนเกิดความเข้าใจผิดในวิชาชีพพยาบาล โดยก่อนหน้านี้ได้แจ้งความร้องทุกข์ไว้ที่สน.มีนบุรี จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.มีนบุรี ได้ขอให้ผู้ประกอบการสถานบริการดังดล่าวงดจัดปาร์ตี้และปลดป้ายโฆษณาลงในฐานะตัวแทนวิชาชีพพยาบาลทั่วประเทศ พวกเราต้องการให้ผู้ประกอบการแสดงความรับผิดชอบ และไม่ให้สถานประกอบการอื่นๆกระทำความผิดในลักษณะเช่นนี้อีก เพราะภาพที่ปรากฏกระทบต่อภาพลักษณ์วิชาชีพพยาบาลเป็นอย่างยิ่ง รศ.ดร.จินตนา กล่าวยืนยัน
ด้านพล.ต.ท.ประวุฒิ กล่าวว่า จากนี้จะดำเนินการเชิญเจ้าของสถานบันเทิงมาให้ปากคำ ซึ่งในขณะนี้ยังไม่ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบสถานบันเทิง เพราะต้องตรวจสอบในฐานความผิดหมิ่นประมาท สร้างความเสียหาย และเสื่อมเสียชื่อเสียง ตามพรบ.คอมพิวเตอร์ หรือไม่อย่างไร เพื่อดำเนินคดีตามกฏหมายต่อไป ขณะเดียวกันฝากเตือนเจ้าของร้านหรือผู้ประกอบการสถานบันเทิงรายอื่นๆ ในเรื่องของการจัดปาร์ตี้ในเครื่องแบบต่างๆ ไม่ให้กระทบต่อภาพลักษณ์วิชาชีพอื่นๆ โดยจะกำชับตำรวจทุกท้องที่ เพิ่มเข้มงวดกวดขันไม่ให้สถานบริการประเภทต่างๆ ที่ชักจูงลูกค้าที่โฆษณาด้วยภาพถ่าย หรือประชาสัมพันธ์ หรือนำมาเลียนแบบทำให้ผู้อื่นเสียหายเนื่องจากมีแรงทักท้วงมาก ผมคิดว่าประธานสปช.ก็ยังดำริว่าอยากให้ดำเนินการต่อ แต่ผมในฐานะเป็นอดีตประธานคณะกรรมการฯชุดนี้ ผมเห็นว่าได้ทำหน้าที่ปรากฏผลงานบรรลุจนหมดแล้ว การจะทำหน้าที่ต่อไป ผลประโยชน์ที่จะได้รับ จะได้น้อยกว่า และจะทำให้ประธาน สปช. อาจจะถูกต่อว่าโดยไม่จำเป้น ดังนั้นเพื่อรักษาเกียรติของประธาน สปช. ผมจึงเป็นผู้ที่เสนอว่าเราได้ศึกษาครบสมบูรณ์แล้ว ละผลงานได้เปิดเผยต่อประชาชนให้ได้รับทราบและตื่นตัว จึงครบภารกิจ ผมจึงเสนอต่อประธาน สปช.ว่าจะสรุปรายงานเพื่อที่จะให้จบการทำหน้าที่ของคณะกรรมการชุดนี้ นายไพบูลย์กล่าวผู้สื่อข่าวถามว่า แสดงว่ายอมรับว่ามีการกดดันการทำงานหรือไม่ นายไพบูลย์ กล่าวว่า ก็ต้องมี ปรากฏเป็นข่าวกันมากมาย แต่กระแสต่างๆตนคิดว่าเป็นเรื่องที่จะทำก็ทำ ซึ่งคงอยากเห็นว่าคณะกรรมการชุดนี้ทำหน้าที่แล้วก็จบหน้าที่ไป ทั้งนี้ไม่ได้หมายถึงว่าตนจะจบหน้าที่ เพราะในส่วนของตนยังจะทำในฐานะที่เป็นสมาชิก สปช. ซึ่งจำทำงานได้กว้างขวางกว่า มีประโยชน์ต่อประชาชนและต่อพุทธศาสนิกชน ต่อพุทธบริษัทได้มากกว่าผู้สื่อข่าวถามว่า การทำงานของเครือข่ายนี่จะมีการแก้กฎหมายหรือไม่ นายไพบูลย์กล่าวว่ามี 2 ระดับคือ 1.นำกฎหมายที่เกี่ยวข้องและยังไม่ถูกบังคับใช้ให้มาบังคับใช้ เช่นกฎหมายคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ที่ไปรับเงินหรือรับของขวัญ ห้ามให้มีมูลค่าเกิน 3,000 บาท ต้องนำมาใช้กับคนที่เป็นเจ้าพนักงาน ในส่วนนี้ก็ต้องไปปฏิบัติตาม ลำดับที่ 2 คือ ปรับปรุงเพิ่มเติมกฎหมายให้ชัดเจนและครอบคลุมมากขึ้น การรับเงินของพระภิกษุบางรูปที่ได้รับยกเว้นภาษีตามประมวลกฎหมายรัษฎากรมาตรา 42 อนุ 10 คือเป็นไปตามธรรมจรรยา โดยเงินจำนวนดังกล่าวนั้นมีขีดจำกัดเป็นเงินที่ให้ตามประเพณีเท่านั้น แต่ไม่หมายรวมเงินที่ให้เป็นจำนวนล้านๆ และเงินล้านๆดังกล่าวถ้านำไปให้วัดต่อ ก็ไม่มีปัญหาเพราะเป็นเงินให้กุศล แต่ถ้าเป็นเงินที่เก็บไว้ส่วนตัวน่าจะเป็นเงินได้พึงประเมิน โดยเรื่องนี้ตนจะติดตามจากกรมสรรพากรต่อไปว่าถึงเวลาหรือไม่ ที่จะต้องเรียกเงินเก็บจากภาษีของภิกษุที่รับเงินเกินกว่า เงินตามธรรมเนียมที่ควรจะเป็น