ฎีกายกฟ้อง"สมหมาย ภาษี"กับพวกไม่ผิดฐานปฏิบัติหน้าที่มิชอบ

เมื่อวันที่ 26 ก.พ.2558 ศาลนัดอ่านคำพิพากษาของศาลฎีกา คดีหมายเลขดำอ.2633/2548 ที่นายทัศพงศ์ วิชชุประภา อดีตรองผู้อำนวยการ บริษัทไทยเดินเรือทะเล จำกัด เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง นายสมหมาย ภาษี รมว.คลัง อดีตรองปลัดกระทรวงการคลังและอดีตประธานสภากรรมการบริษัทไทยเดินเรือทะเล จำกัด และ นายสมพร แก้วงาม , นายนพพร เทพสิทธา , นายจิระเสกข์ ตรีเมธสุนทร และ นายเตชะ บุณยะชัย ซึ่งทั้งหมดเป็นกรรมการบริษัทไทยเดินเรือ ฯ เป็นจำเลยที่ 1-5 ในความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดของเจ้าพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2502 มาตรา 11   ตามฟ้องโจทก์บรรยายว่า เมื่อวันที่ 26 พ.ย.47 จำเลยทั้งห้า ได้มีมติให้พักงาน โจทก์จากกรณีที่มีบัตรสนเท่ห์กล่าวหาโจทก์ทุจริตต่อหน้าที่ ทั้งที่อยู่ในขั้นตอนสอบข้อเท็จจริง ซึ่งคณะกรรมการสอบสวน มีความเห็นว่า โจทก์ไม่ได้ทุจริตเห็นควรยุติเรื่อง โดยรายงานสรุปความเห็นให้จำเลยทราบ แต่พวกจำเลย กลับไม่ได้ดำเนินการอย่างไรกับโจทก์ที่ถูกสั่งพักงานไป ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ถูกดูหมิ่น เกลียดชัง และขาดรายได้เลี้ยงชีพเป็นเวลา 8 เดือน   นอกจากนี้ การลงนามสั่งพักงานโจทก์นั้นเป็นอำนาจของ ผู้อำนวยการบริษัทไทยเดินเรือ ฯ จำกัด ตามระเบียบบริษัทฯ ว่าด้วยการบรรจุ การแต่งตั้ง ฯลฯ พุทธศักราช 2540 ข้อ 42 ซึ่งพวกจำเลยพยายามเบี่ยงเบนข้อเท็จจริง จากการกล่าวหาด้วยบัตรสนเท่ห์ เป็นกล่าวหาโดยอดีต ผอ.บริษัทไทยเดินเรือ ฯ เพิ่มเติมในรายงานการประชุมของสภากรรมการของบริษัท ในวันที่ 2 เม.ย.48 ที่ได้มีการรับรองรายงานการประชุมไปแล้ว อันเป็นการกระทำที่ไม่ชอบ การกระทำของจำเลยกับพวก จึงมีเจตนาทุจริตกลั่นแกล้งโจทก์ และปกปิดการกระทำผิดในการที่สั่งพักงานโจทก์ที่ผิดพลาด เหตุเกิดที่ เขตจตุจักร กทม. 
โดยศาลชั้นต้น มีคำพิพากษาเมื่อปี 2550 ให้จำคุกจำเลยที่ 1 - 5 คนละ 2 ปีโดยไม่รอลงอาญา แต่เมื่อมีการอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ได้พิพากษากลับให้ยกฟ้องจำเลยทั้งหมด โจทก์จึงยื่นฎีกาขอให้ลงโทษจำเลย 
ขณะที่ศาลฎีกา ตรวจสำนวนประชุมปรึกษากันแล้ว เห็นว่า การกระทำของจำเลยเป็นการปฏิบัติไปตามอำนาจหน้าที่ตามปกติ ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น จึงพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ ให้ยกฟ้องจำเลย