หลังจากปรึกษาหารือ นายเดชอุดม กล่าวว่า ทางสภาทนายความได้รับเรื่องคดีดังกล่าวไว้ โดยจะมีการจัดตั้งคณะกรรมการจำนวน 12 คนและที่ปรึกษาจำนวน 8 คน เพื่อดูแลคดีดังกล่าว โดยนายเดชอุดมเป็นประธานคณะกรรมการชุดนี้เอง ซึ่งทนายที่เข้ามาทำคดีนี้จะต้องเป็นทนายอาสาทั้งสิ้น ไม่เกี่ยวข้องกับฝ่ายโจทย์แต่อย่างใด และจะไม่มีทนายซึ่งเป็นคนนอกเข้ามายุ่งเกี่ยวอย่างแน่นอนอย่างไรก็ตามแนวทางการต่อสู้คดีนั้นต้องรอทางอัยการส่งฟ้องสำนวนคดีนี้ก่อน คาดว่าน่าจะเป็นช่วงต้นเดือนพฤศจิกายนนี้ และจะมีการประชุมระหว่างทีมทนาย กับเจ้าหน้าที่ของทางสถานทูตสหภาพเมียนมาร์เป็นระยะในช่วงระหว่างทำคดี จะสามารถระบุแนวทางในการต่อสู้คดีที่ชัดเจนได้ถ้าหากได้ข้อมูลจากสำนวนแล้วเชื่อว่าจะทำให้การต่อสู้คดีเข้มข้มแน่นอน แต่การรวบรวมข้อมูลนั้นต้องอาศัยสื่อด้วยจากการตรวจสอบข่าวทุกข่าวที่เกิดขึ้นเมื่อผู้สื่อข่าวถามเกี่ยวกับกรณีที่พบอัตลักษณ์บุคคล (ดีเอ็นเอ) ของผู้ต้องหาทั้งสองรายซึ่งตรงกับที่พบในที่เกิดเหตุ โดยนำไปสู่การสรุปคดีว่าผู้ต้องหาเป็นผู้ก่อเหตุดังกล่าวนั้น นายเดชอุดม กล่าวว่า ทางทีมทนายจะต้องทำการตรวจสอบสำนวนของคดีดังกล่าวก่อน หากยังไม่เห็นสำนวนคดีก็ไม่สามารถให้รายละเอียดได้ ส่วนกรณีที่ผู้ต้องหามีการร้องว่ามีการใช้กำลังเพื่อบีบบังคับให้สารภาพยอมรับผิดนั้น ทางทีมทนายความจะต้องตรวจเอกสารคำให้การรับสารภาพของผู้ต้องหาอย่างละเอียด เพื่อหาขั้นตอนในการได้มาซึ่งคำรับสารภาพเหล่านั้น โดยยืนยันว่าจะทำด้วยความโปร่งใสเป็นธรรมอย่างแน่นอนส่วนนายโทโท ไทค์ นางเมเต้น และนางผิวเฉน พ่อ-แม่นายซอทูและซอลิน ผู้ต้อง เป็นชาวยะไข่ที่มีภาษาเป็นของตัวเองโดยไม่ได้พูดภาษาเมียนร์ม่านั้น ต้องใช่ลามในการแปลถึง 2 คน แต่ก็จะไม่เป็นอุปสรรค์แต่อย่างใด ทั้ง 3 คนได้ยกมือไหว้เป็นธรรมเนียมหลังนายกสภาทนายความแถลงเสร็จและจะอยู่ในประเทศไทยจนกว่าคดีสิ้นสุด