เนชั่นเปิดตัว "เขาชื่อตู่ จากทหารเสือสู่ทำเนียบรัฐบาล" เจาะเบื้องหลังนายกรัฐมนตรีคนที่ 29 ของไทย

 เมื่อเวลา 10.00 น.วันที่ 15  ต.ค. พล.ร.อ.ณรงค์ พิพัฒนาศัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ได้กล่าวในพิธีเปิดงานมหกรรมหนังสือระดับชาติครั้งที่ 19 ณ ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ภายใต้แนวคิด "ก. เอ๋ย ก.ไก่ เรียนรู้อดีต มุ่งสู่อนาคต" ว่า รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการเพาะเมล็ดพันธุ์แห่งการอ่านให้เกิดขึ้นในสังคมไทย เพราะการอ่านจะช่วยสร้างทรัพยากรมนุษย์ที่มีคุณภาพ ซึ่งจำเป็นต้องถูกปลูกฝันแต่เยาว์วัย ทุกคนจึงต้องช่วยกันเปิดประตูพาเด็กๆ เข้าสู่โลกของการอ่านได้อย่างเต็มใจ ด้วยหนังสือที่เหมาะสมในแต่ละช่วงวัย      "ในส่วนของภาครัฐนั้น เรื่องการศึกษาเป็นหนึ่งเรื่องสำคัญในกลุ่มที่ต้องปฎิรูปประเทศ โดยได้มอบนโยบายการศึกษาแก่ผู้บริหารกระทรวงศึกษาธิการไปเมื่อวันรับหน้าที่ แบ่งเป็น 5 นโยบายทั่วไป 7 นโยบายเฉพาะ และ 10 นโยบายเร่งด่วน ซึ่งทุกนโยบายของการพัฒนาและปฎิรูปการศึกษา จะยึดหลักการมีส่วนร่วม การกระจายอำนาจ และความต้องการของทุกภาคส่วนในสังคม ให้มีความสอดคล้องกับทิศทางการพัฒนา เพิ่มโอกาศทางการศึกษาในสังคมไทยและเพิ่มศักยภาพการแข่งขันของประเทศ" รมว.ศึกษากล่าว 

  ด้านนายจรัญ หอมเทียนทอง นายกสมาคมผู้จัดพิมพ์และผู้จำหน่ายหนังสือแห่งประเทศไทย (PUBAT) กล่าวว่า ไฮไลท์สำคัญในงานนี้คือนิทรรศการ "ระลึกชาติในแบบเรียน" ที่นำเสนอวิวัฒนาการของแบบเรียนไทยในอดีตถึงปัจจุบัน ที่ได้รับอิทธิพลจากการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง เศษฐกิจ ตลอดจนการล่าอาณานิคมของชาติตะวันตก การสอดแทรกแนวคิดทางการเมืองในแต่ละยุคสมัยเข้าไปในแบบเรียนไทยตั้งแต่ พ.ศ. 2411 ถึงปัจจุบัน โดยจะแยกเป็นยุคๆรวม 6 ยุค เช่น แบบเรียนยุคแรก - ตาหวังหลังโก่ง แบบเรียนยุคชาติผู้ดี - พอหลีพี่หนูหล่อ เพื่อให้ผู้ชมได้เข้าในถึงปัญหาและร่องรอยของพัฒนาการแบยเรียนไทย อันจะส่งผลต่ออนาคตของชาติและคนรุ่นต่อไป    นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมที่สำคัญอีกอย่างคือ "โครงการ ๑ อ่าน ล้านตื่น" ซึ่งถือเป็นโครงการแรกที่ให้สิทธิ์ผู้บริจาคในการเลือกหนังสือด้วยตัวเอง โดยสมาคมผู้จัดพิมพ์ฯ จะจัดซื้อหนังสือตามการเลือกสรรจากผู้ดูแลศูนย์เด็กเล็กและตัวแทนชุมชนคนรักอ่าน ทั้งนี้รายการหยังสือดังกล่าว จะได้รับการพิจารณาจากผู้แทนของสมาคมห้องสมุดแห่งประเทศไทย เพื่อให้แน่ใจว่าเป็นกนังสือคุณภาพ โดยสามารถร่วมบริจาคเริ่มต้นที่ 40 บาทก็จะได้รับของที่ระลึกอาทิ เสื้อ กระเป๋า สมุดโน้ต หรือบริจาคเงินเพียง 5 บาทสำหรับแผ่นพับผู้เข้าชม รายได้ก็นำเข้าโครงการเช่นกัน

     สามารถเข้าร่วมชมและเลือกซื้อหนังสือภายในงานมหกรรมหนังสือระดับชาติครั้งที่ 19 ได้ที่ ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ระหว่างวันที่ 15 - 26 ตุลาคม 2557 เวลา 10.00 - 21.00 น. นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมอีกมากมาย อาทิ นิทรรศการภาพถ่าย "Asian Smileo " โซนอ่านสนุกอย่าง "Book Wonderland" และสามารถใช้ Wi-Fi ได้ฟรีรวม 2 ชั่วโมงต่อวันภายในงาน โดยสนับสนุนจากบริษัท เคิร์ซ จำกัด
วันเดียวกันเวลา  13.00 น. ที่เวทีเอเทรียม ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ภายในงานมหกรรมหนังสือระดับชาติครั้งที่ 19 นายสุทธิชัย หยุ่น ประธานบริษัท เนชั่นมัลติมีเดียกรุ๊ป, นายเทพชัย หย่อง  บรรณาธิการอำนวยเครือเนชั่น และนายบัณฑิต จันทศรีคำ ร่วมกันพูดคุยและเปิดตัวหนังสือ "เขาชื่อตู่ จากทหารเสือสู่ทำเนียบรัฐบาล" ดำเนินรายการโดยคุณ อุมาพร ธำรงวงศ์  โดยนาย สุทธิชัย กล่าวว่า หลังจาก 22 พฤษภา เวลาประมาณบ่าย 4 โมงที่มีผู้ชายคนหนึ่งประกาศว่าจะเข้ามาบริหารประเทศ เราจึงต้องทำหนังสือให้ครไทยทั่วประเทศรู้จักเขา ว่าเขาคือใคร
ซึ่งก่อนหน้านี้ผู้ขายคนนี้ก็อยู่ในข่าว และมีบุคลิกน่าสนใจ เรามีเบื้อหลังและมีข้อมูลเพราะว่าทีมข่าวเราติดตาม พลเอก ประยุทธ์ มาตั้งแต่ก่อนเป็น ผบ.ทบ เรารู้ความน่าสนใจของคนที่อาสามาดูแลประเทศ และมีอำนาจเบร็ดเสร็จเด็ดขาดแบบนี้ คนไทยทุกคนต้องรู้จัก จึงทำให้ตั้งชื่อหนังสือว่า เขาชื่อ ตู่ ซึ่งทางทีมงานเนชั่นสุดสับดาห์ติดตามการทำงานของบิ๊กตู่มาอย่างยาวนาน เก็บข้อมูลเบื้องลึกเบื้องหลัง ซึ่งแค่รูปในหนังสือก็คุ่มแล้ว รูปที่ปรากฎในหนังสือจะได้สะท้อนความเป็นพลเอกประยุทธ์ ที่ได้รวบรวมคสามรู้สึกความเป็นพลเอกประยุทธ์ ในสีหน้าเคร่งเครียด ในบทบาทที่เอาจริงเอาจัง และรอยยิ้ม 

นายสุทธิชัย กล่าวต่อว่า อย่างตอนนี้จุดอ่อนของท่านที่คนทั้งหลายเห็นตรงกันความ อารมณ์ที่ค่อนข้างฉุนเฉียว ถ้าเกิดนักข่าวถามคำถามที่ท่านอาจจะไม่พอใจนัก  แต่ในช่วงท้ายๆ ก็มักจะมีรอยยิ้มปิดท้ายเสมอ แม้จะเป็นร้อยยิ้มที่ค่อนข้างฉุนเฉียวอยู่ก็ตาม ซึ่ง บิ๊กตู่ เป็นคนหนึ่งที่เรียนหนังสือเก่งมาก เพราะว่าท่านอ่านหนังสือมาเยอะ ทำให้ท่านมีบุคลิคที่หลากหลายรูปแบบทั้ง เข้ม อ่อนโดยน อารมณ์ขัน ขณะเดียวกันก็รู้ว่าต้องปรับตัวอย่างไร ในหนังสือเล่มนี้ก็จะมีการอธิบายถึงเหตุการณ์ก่อนการปฎิวัติ ว่าท่านมีการเตรียมตัวมากน้อยแค่ไหน กับใครอย่างประโยคที่พูดว่า "ขอโทษด้วยนะที่ผมต้องยึดอำนาจ" ท่านก็รู้อยู่แล้วว่าไม่ถูกไม่ควรจะทำ ถ้าเราตามข่าวมาตลอดก็จะทราบว่าท่านยิ้มและให้เบาะแสมาตลอด ว่าถ้าการเมืองไม่ยุติไม่หยุด ก็จะเกิดแบบนี้ ซึ่งมีอยู่ครั้งหนึ่งที่นักข่าวถามว่า ทำไมท่านไม่ออกมาจัดการเสียที ท่านก็พูดว่า พวกคุณจะเอาอย่างนั้นหรอ ถ้าทหารออกมาแล้วไม่กลับนะ ทำให้เรารู้เลยว่าในใจท่านได้เตรียมการอะไรไว้บ้าง
"ผมเชื่อคนคนไทยรอคอยความชัดเจน รอคอยผู้นำ รอคอยให้มีการเริมต้นใหม่ที่ทุกฝ่ายมาพูดจากันได้ และบทบาทของ พลเอกประยุทธ์ ก็ค่อนค้างจะเด่นชัดว่า จะทำหน้าที่ตรงนี้ พยายามทำให้บ้านเมืองจะสงบก่อน แล้วมาตั้งต้นกันใหม่ ค่อยมาเขียน Road map เขียนรัฐธรรมมนูญกันใหม่ จากนี้ไปก็จะพิสูจน์ 1.เศรษฐกิจ ว่าที่ได้มาทำในเรื่องต่างๆและรวบรวมเอารัฐมนตรีทางด้านเศษฐกิจหลากหลายท่านเข้ามาจะมีผลในการปฎิบัติหรือไม่ ต่อมาในแง่ของความสงบ การปรองดองจะสร้างได้จริงหรือเปล่า และที่ใหญ่ที่สุดปฎิรูปว่า ตั้งสภาปฎิรูปแห่งชาติแล้วจะสามารถหาสิ่งอะไรที่จะทำให้คนพอใจว่า 1.เรื่องขัดแย้งจะทิ้งเอาไว้ข้างหลัง 2.เดินไปข้างหน้าและจะสามารถหาสูตรที่ทุกฝ่ายในสังคมได้ประโยชน์ และไม่มีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้เปรียบ ไม่มีการให้อำนาจการเมือง อำนาจเศษฐกิจแบ่งไปกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งโดยเฉพาะเท่านั้นเอง"นายสุทธิชัย กล่าว

ด้านนาย เทพชัย หย่อง กล่าวถึงพลเอก ประยุทธ์ว่า เป็นภาพคุ้นตาที่จะพบเจอกับบุคลิกอันเคร่งขรึม ใบหน้าไร้รอยยิ้มอยู่เสมอของบิ๊กตู่ แต่หน้าปกของหนังสือ "เขาชื่อตู่" จะเป็นบุคลิกที่ต่างออกไป ด้วยใบหน้าที่เปื้อนรอยยิ้มของบิ๊กตู่ที่เลือกมาจากหลายพันภาพถ่ายที่มีอยู่เพื่อขึ้นปก ด้วยเหตุว่าคนทั่วไปไม่ค่อยเห็นนายกยิ้ม ซึ่งภาพนั้นเป็นภาพตอนดำรงตำแห่งผบ.ทบ. ก่อนหน้าจะเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย  นายกมักจะเป็นคนพูดจาตรงไปตรงมายิ่งกับนักข่าว จะค่อนข้างอารมณ์เสียมากหน่อย หลังๆมาท่านจึงพยายามผ่อนคลายความตึงเครียดด้วยการลงท้ายคำว่า "นะจ๊ะ" หลังจบประโยค แต่หลังจากการรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีด้วยความตึงเครียดจากปัญหาที่ต้องแก้ทำให้ท่าทีเคร่งขรึมยังมีอยู่มาก 
นายเทพชัย ยังกล่าวเสริมอีกว่า การที่บิ๊กตู่ได้ก้าวมาเป็นนายกรัฐมนตรีหลายๆคนในสังคมมักจะตั้งคำถามว่าทำไมถึงต้องเป็นคนนี้ แต่หากในสายทหารจะไม่มีข้อสงสัยเลยว่าทำไม บิ๊กตู่ถึงมาเป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นที่น่าประหลาดใจว่าแม้ในอดีตจะมีผบ.ทบ ที่เก่งกาจเพียงใดก็ไม่สามารถดึงนายทหารทั้งรุ่นพี่ รุ่นน้อง และเพื่อนมาทำงานร่วมกันในลักษณะนี้ได้ แต่บิ๊กตู่ทำได้ ซึ่งความเป็นผู้นำได้ฉายแววมาตั้งแต่สมัยเรียน ตั้งแต่การยึดอำนาจจนกระทั้งก้าวมาเป็นายกรัฐมนตรีคะแนนนิยมในตัวบิ๊กตู่ถือว่ามากกว่านายกคนใดในประวัติศาสตร์ และแน่นอนว่าการทำงานในฐานะหัวหน้ารัฐบาลคงไม่ง่ายเช่นตำแหน่งหัวหน้าคสช. ปัญหาที่ต้องแก้ไม่สามารถลุล่วงด้วยอารมณ์หรือคำสั่ง เป็นสิ่งที่ท้าทายว่าจะใช้ความเป็นบิ๊กตู่อย่างไรในฐานะหัวหน้ารัฐบาล หนังสือเล่นนี้จะเป็นคำตอบของคำถาม และทำให้ทราบว่าผู้นำมีแนวคิดอย่างไร มีทิศทางไหนในการบริหารประเทศ
ขณะที่ บัณฑิต จันทศรี  คำที่รับหน้าที่เป็นบรรณธิการของหนังสือเล่มนี้ ได้กล่าวว่า พลเอก ประยุทธ์มีความน่าสนใจตั้งแต่เป็นแม่ทัพภาคที่ 1 เพราะจะสังเกตุได้ว่าทหารส่วนใหญ่จะพูดไม่เก่ง แต่ท่านกลับมีแนวคิดการพูดที่น่าสนใจ ท่านเคยทำการวิจัยไทยมั่นคงรูปแบบใหม่ ก่อนจะมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีทำให้ท่านรู้จุดที่จะแก้ไขปัญหา ซึ่งเห็นได้ชัดจากนโยบายการแก้ปัญหาการค้ามนุษย์ การจัดการระบบจดทะเบียนของแรงงานต่างด้าวในช่วงที่ผ่านมา แสดงถึงการคิดแก้ไขมาก่อนหน้าเป็นอย่างดี และแน่นอนว่าการบริหารประเทศไม่ได้ง่ายเหมือนตอนเป็นผบ.ทบ. ซึ่งเนื้อหาในหนังสือก็ได้มาจากแหล่งข่าวใกล้ชิดทั้งลูกน้อง และเพื่อนของพลเอกประยุทธ์ จนเป็นหนังสือเล่มนี้
หากท่านสนใจหนังสือ "เขาชื่อตู่ จากทหารเสือสู่ทำเนียบรัฐบาล" มีจำหน่ายแล้วที่บูธเนชั่นบุ๊คส์ M49 โซน C1 ในงานมหกรรมหนังสือระดับชาติครั้งที่ 19 วันนี้ - 26 ตุลาคม 2557 ณ ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ และที่ร้านหนังสือชั้นนำทั่วประเทศ ติดตามข่าวสารของสำนักพิมพ์ได้ที่ facebook.com/NationBooksFanPage