svasdssvasds
เนชั่นทีวี

สังคม

สองแม่อุ้มบุญเข้าให้ปากคำ พงส.สน.ลุมพินี

23 สิงหาคม 2557
เกาะติดข่าวสาร >> Nation Story
logoline

เมื่อเวลา 10.30 น. วันที่ 23 ส.ค.พ.ต.อ.เดชา พรมสุวรรณ์ พนักงานสอบสวนผู้ทรงคุณวุฒิ สน.ลุมพินี ได้เรียกหญิงซึ่งเป็นแม่ที่ทำอุ้มบุญมาสอบปากคำเพิ่มเติม เพื่อให้ยืนยันชี้ภาพตัวบุคคล คือ นพ.พิสิฐ ตันติวัฒนากุล เจ้าของสถานพยาบาล ออลไอวีเอฟ

ซึ่งเป็นคนที่ทำการฝังตัวอ่อนทำอุ้มบุญให้ ขณะนี้ตกเป็นผู้ถูกกล่าวหาในความผิด 2 ข้อหา คือ 1.ความผิด พ.ร.บ.สถานพยาบาล ประกอบกิจการและสถานพยาบาลไม่ได้รับอนุญาต 2.ไม่ควบคุมดูแลให้ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมในสถานบริการให้ปฏิบัติตามกฎหมาย ว่าด้วยวิชาชีพเวชกรรม โดยขณะนี้ถูกออกหมายเรียกไปแล้วแต่ยังไม่ได้เดินทางมาให้ปากคำกับพนักงานสอบสวน ในวันนี้ (23 ส.ค.)
มีแม่อุ้มบุญจำนวน 2 คน เดินทางเข้าพบพนักงานสอบสวน สน.ลุมพินี คือ น.ส.เอ (นามสมมุติ) อายุ 38 ปี (น.ส.อนัญญา จำปา) และ น.ส.บี (นามสมมุติ)อายุ 33 ปี (น.ส.ปัญจา โคจร) เจ้าหน้าที่ใช้เวลาสอบปากคำนานร่วม 2 ชั่วโมง ก่อนทั้งคู่จะเดินทางกลับ โดยไม่ให้สัมภาษณ์หรือให้ข้อมูลดังกล่าวกับผู้สื่อข่าวทั้งไทยและญี่ปุ่นที่มาเฝ้ารอทำข่าวจำนวนมากแต่อย่างใด
พ.ต.อ.เดชา เปิดเผยว่า วันนี้(23 ส.ค.)ได้เรียกแม่อุ้มบุญทั้ง 2 คน มาสอบปากคำเพื่อยืนยันว่าได้ทำอุ้มบุญดังกล่าวกับ นพ.พิสิฐ หรือไม่รวมทั้งให้ชี้รูปหมอพิสิฐ ด้วย ซึ่งแม่อุ้มบุญทั้ง 2 คน ก็ให้การและชี้รูปยืนยันว่าทำกับ นพ.พิสิฐ จริง โดยแม่อุ้มบุญที่มาให้ปากคำครั้งนี้ น.ส.เอได้ลูกผู้หญิง ส่วนน.ส.บี ได้ลูกแฝด ชาย-หญิง ขณะนี้เด็กทั้ง 3 คน อยู่ในความดูแลของกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์(พม.) สำหรับในวันจันทร์ที่จะถึงนี้ได้นัดให้แม่เด็กอุ้มบุญที่เหลืออยู่มาสอบปากคำ ในเวลาประมาณ 10.00 น.คาดว่าน่าจะมาประมาณ 4-5 คน ซึ่งผลการสอบปากคำทั้งหมดจะได้เก็บรวบรวมไว้เป็นหลักฐาน
รายงานข่าวระบุว่า การให้ปากคำของแม่อุ้มบุญท้งสองคน โดยน.ส.เอ ให้ปากคำว่า ได้รับจ้างทำอุ้มบุญ เมื่อประมาณกลางเดือน พ.ย.55 ได้เดินทางเข้าพบ นพ.พิสิฐ ที่คลินิก ออลไอวีเอฟ คลินิกเวชกรรมเฉพาะทางสูตินารีเวช ชั้น 12A ห้องเลขที่12A04 และชั้น 15 อาคารศิวาเทล ถ.วิทยุ แขวงลุมพินี เขตปทุมวัน กทม. เพื่อให้นพ.พิสิฐ ตรวจร่างกายและผนังมดลูด ว่าจะสามารถตั้งครรภ์ได้หรือไม่
จากนั้นได้เดินทางมาพบ นพ.พิสิฐอีก 4 ครั้ง โดยมารับยาฮอร์โมนไปรับประทานสัปดาห์ละครั้ง ซึ่งครั้งที่ 4 เมื่อวันที่30 ม.ค.56 เป็นครั้งที่มาฝังตัวอ่อน มีนพ.พิสิฐกับผู้ช่วย เป็นคนฝังตัวอ่อนให้ จากนั้นก็นัดอีก 10 วันถัดมาเพื่อมาตรวจดูว่าตั้งครรภ์หรือไม่ หลงจากครวจพบว่าตั้งครรภ์แล้ว อีก 1 สัปดาห์ก็นัดมาตรวจคลื่นหัวใจเด็กในครรภ์ แล้วก็นัดมาอีกเดือนละ1 ครั้งจนกว่าจะคลอด กระทั่งวันที่ 27 ก.ย.56ได้มาพบนพ.พิสิฐอีกครั้ง และแจ้งว่าพร้อมที่จะคลอด
เมื่อน.ส.เอ พร้อมที่จะคลอด นพ.พิสิฐ ก็ได้ส่งตัว น.ส.เอ ไปที่ รพ.พญาไท2 โดยนพ.พิสิฐ เป็นผู้ทำคลอดให้ ด้วยวิธีการผ่าคลอด ได้ลูกเพศหญิง จากนั้นก็นอนพักที่ รพ.อยู่อีก 1 สัปดาห์ ก่อนที่จะมีชายชื่อว่านายสำราญ ปาสาเนย์ มารับตัวน.ส.เอ พร้อมลูกอุ้มบุญไปที่เดอะนิชคอนโด ซ.ลาดพร้าว 130 แขวงคลองจั่น เขตบางกะปิ กทม. แล้วน.ส.เอ ก็เดินทางกลับบ้าน
โดยที่เด็กยังอยู่คอนโดดังกล่าวกับพี่เลี้ยง ซึ่งน.ส.เอ ได้รับค่าจ้างที่ทำอุ้มบุญรวมทั้งสิ้นประมาณ 3 แสนบาท โดยได้รับเป็นงวด จำนวนหลายงวดรับเงินโดยการโอนเข้าบัญชีเงินฝากของน.ส.เอ
รายงานข่าวระบุด้วยว่า สำหรับน.ส.บี ก็เข้าทำการอุ้มบุญตามขั้นตอนเหมือนกับน.ส.เอ ซึ่งน.ส.บี ได้เข้าทำอุ้มบุญกับนพ.พิสิฐ ในช่วงเดือน พ.ค.56 จนถึง วันที่ 24ม.ค.57 ที่ทำการผ่าคลอดที่ รพ.พญาไท2 ได้ลูกแฝดชาย-หญิง แล้วก็มีนายสำราญมารับตัวไปที่คอนโด ในซ.ลาดพร้าว 130เหมือนกัน ซึ่งน.ส.บีได้รับค่าจ้างประมาณ 3-4 แสนบาท
ขณะเดียวกันแม่อุ้มบุญทั้งสองคนนี้ไม่รู้มาก่อนว่านายมัตสิโตกิ ชิเกตะ พ่อที่ให้ทำอุ้มบุญชาวญี่ปุ่นเคยว่าจ้างให้ผู้หญิงคนอื่นทำอุ้มบุญมาก่อน และแม่อุ้มบุญทั้งคู่ก็ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนเช่นกัน
พ.ต.อ.เดชา กล่าวอีกว่า ในส่วนของการสอบปากคำนพ.พิสิฐ นั้น ก่อนหน้านี้ทางทนายความได้ยื่นเรื่องขอเลื่อนเข้าพบเป็นวันที่ 6 ก.ย.ซึ่งระยะเวลานานเกินไป และได้ติดต่อเพื่อให้เข้าพบพนักงานสอบสวนเร็วขึ้น แต่ยังไม่มีการติดต่อกลับมา หากพิจารณาแล้วไม่มีเหตุอันควรที่ขอเลื่อน หรือยังไม่ติดต่อกลับมาภายในสัปดาห์หน้านี้ก็จำเป็นต้องขอศาลเพื่อออกหมายจับต่อไป
พล.ต.ต.ฐิติราช หนองหาญพิทักษ์ รองผบช.น. เปิดเผยว่า ในขณะนี้ได้สั่งการให้ฝ่ายสืบสวนลงพื้นที่ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะรายละเอียดต่างๆเพื่อความชัดเจน ทั้งนี้ในส่วนคดีนี้ประกอบไปด้วย 3 ส่วน คือ 1 กรณีที่เกิดขึ้นในไทยซึ่งมีนพ.พิสิฐ ตันติวัฒนกุล เจ้าของสถานพยาบาลออลไอวีเอฟ 2 กรณีชาวญี่ปุ่นนำข้ามแดนเข้ากัมพูชาไปแล้ว3 คน ที่ยังเป็นปริศนาอยู่และ 3 กรณีสภาพทางสังคมของนายมัตสิโตกิ ชิเกตะ ซึ่งทั้งหมดนี้ต้องตรวจสอบอย่างละเอียดให้ชัดเจน
อย่างไรก็ตามในส่วนของกรณีอุ้มบุญในประเทศไทยนั้น กุญแจสำคัญที่จะคลี่คลายคดีนี้ได้เป็นอย่างดีคือตัวของนพ.พิสิฐ ซึ่งขณะนี้ยังไม่เข้าให้ปากคำ และได้มีการเลื่อนการสอบปากคำกับทางพนักงานสอบสวน ทั้งนี้หากตัวของนพ.พิสิฐ เดินทางเข้าพบพนักงานสอบสวนพร้อมนำหลักฐานเวชระเบียนประวัติรักษาจะเป็นประโยชน์ต่อรูปคดีเป็นอย่างมาก ทั้งนี้อยากให้ตัวของนพ.พิสิษฐ์เข้ามาให้ปากคำเพื่อสอบถามที่มาที่ไป ซึ่งหากไม่เข้ามาก็จะมีการดำเนินการตามขั้นตอน ซึ่งอาจรวมถึงการที่ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างแพทย์สภาและกระทรวงสาธารณสุขเพิกถอนใบอนุญาตเฉพาะทางของนพ.พิสิฐ
ขณะที่การติดตามรายละเอียดในกรณีของประเทศกัมพูชาและญี่ปุ่นนั้น เบื้องต้นต้องตรวจสอบสภาพทางสังคมและประวัติของนายมัตสิโตกิ ชิเกตะ ว่าเป็นคนอย่างไร มีฐานะอย่างไร อีกทั้งตรวจสอบขั้นตอนการขออนุญาตว่านำเด็กออกนอกประเทศด้วยวัตถุประสงค์ใดกันแน่ ซึ่งตรงนี้หากทางนายมัตสิโตกิ ชิเกตะ มาแสดงความบริสุทธิ์ใจชี้แจงก็สามารถทำตามขั้นตอนได้ อย่างไรก็ตามแนวทางการสืบสวนเชื่อว่าทั้งสามกรณีน่าจะมีส่วนผัวพันกัน เป็นลักษณะเครือข่าย ซึ่งต้องนี้ได้กำชับให้ฝ่ายสืบสวนและชุดทำงานติดตามตรวจสอบแล้ว รองผบช.น. กล่าว
รายงานข่าวระบุว่าขณะนี้ทาง นพ.พิสิฐ ตันติวัฒนกุล เจ้าของสถานพยาบาลออลไอวีเอฟ ยังคงกบดานอยู่ในประเทศ คาดว่าเร็วๆนี้น่าจะเดินทางเข้าพบพนักงานสอบสวน

logoline