svasdssvasds
เนชั่นทีวี

สังคม

โพสต์เฟสบุ๊คโจ๋งครึ่ม หาหญิงสาว"อุ้มบุญ" รายได้งาม

แฉเฟซบุ๊กแม่น้องแกมมี่ ประกาศหาหญิงสาวอุ้มบุญ-รายได้งาม ตร.ตามหาพ่อญี่ปุ่นพิสูจน์ดีเอ็นเอเด็กอุ้มบุญ 9 คน ยังไม่แจ้งข้อหา เอ็นจีโอจี้รัฐตรวจสอบหวั่นนำเด็กอุ้มบุญทำสเต็มเซลล์ หลายฝ่ายหนุนออกก.ม.เอาผิดทั้งวงจร ขณะที่ออสซี่สอบครอบครัวคู่กรณีแม่อุ้มบุญ ประเมินความเสี่ยงแฝดหญิง หลังพบมีประวัติอนาจารเด็ก


กรณีแม่อุ้มบุญของ "น้องแกมมี่" มีการพบว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการจัดหาแม่อุ้มบุญด้วย ล่าสุดมีรายงานว่า ในหน้าเฟศบุ๊กที่ใช้ชื่อว่า "ใอ้ฃ่นู๋ก้อย เด็กชลครับผม" ซึ่งเป็นของ น.ส.ภัทรมล งามบัว แม่อุ้มบุญของน้องแกมมี่ มีการโพสต์ทั้งรูปถ่ายและข้อความที่ถูกแชร์ในโลกออนไลน์ ซึ่งส่วนหนึ่งมีการกล่าวถึงการจัดหาแม่อุ้มบุญและมีค่าตอบแทนระบุไว้ในข้อความเหล่านั้นอย่างชัดเจน
อาทิ ข้อความวันที่ 16 พฤษภาคม 2014 เขียนว่า "งานบริจาคไข่พบลูกค้าพรุ่งนี้ ส่วนสูง 160+ น้ำหนัก 60 เลือดกรุ๊ปเอค๊ะ เรทอยู่ที่ 20,000-50,000 บาท จ่ายเงินสดค๊ะ" มีผู้ถามว่า เลือดกรุ๊ปโอ ทางใอ่นู๋ก้อยฯ ตอบว่า "ทิ้งประวัติไว้ได้ค๊ะถ้ามีเคสจะติดต่อปายค๊ะ"
หรือข้อความ วันที่ 25 เมษายน 2014 มีว่า "ทางเราอยากด้ายคุณแม่อุ้มบุญ จำนวนมากค๊ะ ทั้งกรุงเทพฯและต่างจังหวัด สนจัยคุยกันได้ค๊ะ" และมีผู้สอบถามรายละเอียดเข้ามาที่เฟซบุ๊ก โดยเจ้าของเฟซบุ๊กได้ขอไลน์จากผู้ติดต่อเพื่อให้รายละเอียด
นอกจากนี้ยังโพสต์ลงในเฟซบุ๊กสำหรับผู้สนใจงานแม่อุ้มบุญให้กรอกข้อความ ดังนี้ ชื่อ-ชื่อเล่น เลือดกรุ๊ปใด อายุ วันเกิด สัญชาติ ส่วนสูง น้ำหนัก สีตา สีผม รูปใบหน้า การศึกษา งานอดิเรก พร้อมให้ส่งรูป 7-8 ใบ หน้าสด ครึ่งตัว เต็มตัว สวยๆ และในโพสต์ของผู้สนใจบางราย บอกว่าอายุ 17 ปี เข้ามา ทางเจ้าของเฟซบุ๊กใอ่นู๋ก้อย เด็กชลครับผม ตอบว่า "ลองส่งประวัติมาน่ะค๊ะ พี่จะส่งลูกค้าหั้ยนะ"
ตรวจดีเอ็นเอเด็ก9คนลูกชาวญี่ปุ่นส่วนความคืบหน้าเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร พร้อมนางปวีณา หงสกุล ประธานมูลนิธิปวีณาหงสกุลเพื่อเด็กและสตรี เข้าตรวจสอบคอนโดมิเนียมแห่งหนึ่งในซอยลาดพร้าว 130 ถนนลาดพร้าว เขตบางกะปิ กทม. เมื่อช่วงเย็นวันที่ 5 สิงหาคม ที่ผ่านมา หลังมีรายงานว่าเป็นสถานที่พักของหญิงสาวอุ้มบุญให้ชาวต่างชาติ โดยพบเด็กเล็กชายหญิง 9 คน อายุตั้งแต่ไม่กี่เดือนจนถึง 10 ปี เป็นเด็กหญิง 3 คน และเด็กชาย 6 คน และอยู่ในครรภ์ 6 เดือนของหญิงสาวอีกคน พร้อมพี่เลี้ยงเด็ก 7 คน ซึ่งทราบว่ามีพ่อเป็นชาวญี่ปุ่นที่มาว่าจ้างหญิงไทยอุ้มบุญ จึงนำเด็กทั้งหมดไปลงบันทึกประจำวันที่ สน.ลาดพร้าว จากนั้นนำตัวไปดูแลที่บ้านเด็กอ่อนปากเกร็ด จ.นนทบุรี
 ทั้งนี้ตลอดเวลาดำเนินงานของเจ้าหน้าที่ มี นายรัฐประธาน ตุลาธร อ้างตัวเป็นทนายความ เข้ามาสังเกตการณ์ และว่าการทำอุ้มบุญดังกล่าวไม่ผิดกฎหมาย ทำเป็นระบบ 
ล่าสุด วันที่ 6 สิงหาคม พล.ต.อ.เอก อังสนานนท์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.) เปิดเผยภายหลังการประชุมร่วมกับนางปวีณา หงสกุล และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ว่า เจ้าหน้าที่เตรียมนำดีเอ็นเอเด็กทั้ง 9 คน ไปตรวจพิสูจน์ว่าเป็นลูกของชายชาวญี่ปุ่นเจ้าของห้องพักดังกล่าว ซึ่งยอมรับว่าเป็นบิดาตามที่ทนายความกล่าวอ้างหรือไม่ ตอนนี้อยู่ระหว่างประสานเข้าให้ปากคำต่อเจ้าหน้าที่ และหากพบว่าเป็นพ่อเด็กจริงต้องตรวจสอบว่า เหตุใดจึงต้องการมีลูกจำนวนมาก พร้อมสอบปากคำพี่เลี้ยงเด็กทั้ง 7 คน รวมถึงพยานปากสำคัญ คือ สตรีที่ตั้งครรภ์ 6 เดือน โดยให้ พล.ต.ต.ชยุต ธนทวีรัชต์ รองผบช.น.ดูแลการสอบสวน โดยทราบข้อมูลรายชื่อบุคคลทั้งหมดแล้ว แต่ไม่ขอเปิดเผย และยังไม่ได้แจ้งข้อกล่าวหาใดๆ และหากเด็กทั้ง 9 คน เกิดจากการอุ้มบุญจริง จะต้องหาสถานพยาบาลที่รับทำเพื่อดำเนินคดี 
"จากการสอบปากคำเบื้องต้นทราบว่า มีผู้ประสานงานนำเชื้อของชายชาวญี่ปุ่นรายนี้มาให้หญิงสาวในประเทศไทย ซึ่งผู้ประสานงานรายนี้ได้จัดหาที่พักอาศัย อาหาร รวมถึงติดต่อสถานที่คลอดให้เรียบร้อย โดยเจ้าหน้าที่จะเร่งตรวจสอบว่า เชื้อดังกล่าวเป็นของผู้ใด และไปคลอดเด็กที่ใด ซึ่งได้ติดต่อไปยังสถานทูตญี่ปุ่น เพื่อให้ช่วยตามหาผู้เป็นพ่อควบคู่กับสถานที่ทำคลอด ก่อนจะนำมาตรวจดีเอ็นเอต่อไป ยืนยันว่าตำรวจจะดำเนินการอย่างเฉียบขาดทั้งกฎหมายอาญาและกฎหมายการค้ามนุษย์" พล.ต.อ.เอก กล่าว และว่า ในส่วนหญิงชาวญี่ปุ่นที่พบในคอนโดจากการสอบปากคำเบื้องต้นให้การเพียงว่าเพิ่งเข้ามาอาศัย
ด้านนางปวีณา กล่าวว่า จากการตรวจค้นพบว่า เด็กทั้ง 9 คน มีอายุน้อยมาก บางรายอายุเพียง 15 วัน บางราย 50 วัน และจากการสังเกตพบว่า หน้าตาของทารกเหล่านั้นค่อนข้างไปทางยุโรป มีเพียง 1 คน ที่หน้าตาค่อนมาทางชาวเอเชีย จึงประสานกับเจ้าหน้าที่ตำรวจให้เร่งตรวจสอบหาพ่อและแม่ที่แท้จริง เพื่อแก้ความสงสัยในเรื่องหน้าตาของเด็กเหล่านี้ด้วย นอกจากนี้มีผู้แจ้งเบาะแสมาว่า การทำอุ้มบุญส่วนหนึ่งมีการผ่าเด็กที่อยู่ในครรภ์ 7 เดือนออกมา เพื่อต้องการดูดเอาไขสันหลังหรือสเต็มเซลล์ นำมาใช้เป็นส่วนผสมในผลิตภัณฑ์เสริมความงามด้วย 
เอ็นจีโอจี้สอบนำเด็กทำสเต็มเซลล์นายอิลยา สมิร์นอฟฟ์ ผู้อำนวยการมูลนิธิสายเด็ก 1387 ซึ่งเป็นหน่วยงานเอกชนที่ให้การช่วยเหลือเด็กด้อยโอกาสทั้งในไทยและต่างประเทศ ให้ข้อมูลว่า ขบวนการจัดหาแม่อุ้มบุญในประเทศมีมานานกว่า 10 ปี วิธีการหากินของขบวนการนี้ จะมีการติดต่อจากสามีภรรยาที่ต้องการแม่อุ้มบุญ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นชาวต่างชาติ จะต่อรองราคาค่าใช้จ่าย จากนั้นจะติดต่อหญิงไทยเพื่อให้มาอุ้มบุญ แล้วติดต่อคลินิกประจำหรือโรงพยาบาล เพื่อผสมเชื้อ หลังคลอด โดยแม่อุ้มบุญจะเซ็นสละสิทธิ์การเป็นแม่ทันที ขณะที่ในใบเกิดจะระบุชื่อของพ่ออย่างชัดเจน แล้วนำไปที่สถานทูตเพื่อทำหนังสือเดินทาง แล้วนำเด็กออกนอกประเทศทันที 
การอุ้มบุญในไทยทำได้ง่าย เพราะไม่มีกฎหมายที่ชัดเจน ซึ่งอยากให้มีหน่วยงานที่เข้ามาดูแล ในการตรวจสอบเอกสาร ประวัติของครอบครัวที่ต้องการรับบริการอุ้มบุญ พร้อมทั้งติดตามผลเมื่อนำเด็กไปเลี้ยงดูแทนที่จะมีนายหน้าหรือเอเยนซี เพราะล่าสุดมีข้อมูลว่า กรณีเด็กอุ้มบุญนอกจากจะมีการนำไปเลี้ยงดูแล้ว อาจมีการนำเด็กไปทำสเต็มเซลล์
"ผมเป็นห่วงว่า นอกจากจะมีการอุ้มบุญเพื่อนำเด็กไปเลี้ยงดูแล้ว จากการติดตามข่าวพบว่า มีหลายรายเมื่อถูกนำไปต่างประเทศแล้วมีการทำทารุณกรรมเด็กและมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลกันระหว่างเครือข่ายองค์กรด้านเด็กระหว่างประเทศ มีการพูดถึงการอุ้มบุญเด็กเพื่อทำสเต็มเซลล์ ซึ่งอยากให้ทางการไทยตรวจสอบเรื่องนี้ให้มีความชัดเจน และควรมีหน่วยงานขึ้นมาตรวจสอบหรือดำเนินการกับกลุ่มนายหน้ารับจ้างอุ้มบุญที่มีการประกาศรับสมัครหญิงสาวเพื่อการอุ้มบุญอย่างแพร่หลาย" นายอิลยา กล่าว
แพทยสภาฟันแน่-ลั่นหมอไม่รู้ไม่ได้ศ.นพ.สมศักดิ์ โล่ห์เลขา นายกแพทยสภา เปิดเผยว่า วันที่ 7 สิงหาคม จะนำเรื่องการตรวจจับคลินิกรับทำอุ้มบุญย่านเพชรบุรีตัดใหม่ และกรณีการช่วยเด็กอุ้มบุญ 9 คนย่านลาดพร้าว เข้าที่ประชุมกรรมการแพทยสภา เบื้องต้นเชื่อว่า ครั้งนี้จะลงโทษเอาผิดแพทย์จากกรณีการใช้เทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์เป็นรายแรก โดยเมื่อแพทยสภาได้รับรายชื่อแพทย์ที่เข้าข่ายกระทำความผิดจากกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) แล้ว จะนำเข้าพิจารณาของกรรมการจริยธรรม มีการไต่สวนและตรวจสอบข้อเท็จจริง หากพบว่ากระทำผิดจริงจะมีโทษสูงสุดถึงขั้นเพิกถอนใบอนุญาตประกอบวิชาชีพเวชกรรม
"แพทย์และสถานพยาบาลที่ทำการอุ้มบุญจะมีความผิดแน่นอนตามข้อบังคับแพทยสภา แต่ในส่วนของหญิงที่รับอุ้มบุญยังไม่มีกฎหมายใดกำหนด ดังนั้นเห็นด้วยและสนับสนุนให้ออก พ.ร.บ.การตั้งครรภ์โดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ พ.ศ.... ซึ่งมีการยกร่างไว้ตั้งแต่ปี 2551 โดยกฎหมายนี้จะทำให้เอาผิดผู้ที่เกี่ยวข้องกับการทำอุ้มบุญทั้งหมดตั้งแต่หญิงรับทำอุ้มบุญ เอเยนซีและส่วนอื่นที่เกี่ยวข้อง ไม่เฉพาะแพทย์ที่ผิดตามข้อบังคับแพทยสภาที่มีอยู่ในปัจจุบันเท่านั้น ศ.นพ.สมศักดิ์ กล่าว 
หนุนออกกฎหมายเอาผิดทั้งวงจรวันเดียวกัน ที่สถาบันพัฒนาข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม นายจรัญ ภักดีธนากุล ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ กล่าวถึงมุมมองในข้อกฎหมายกรณีอุ้มบุญ ว่า ปัจจุบันในประเทศไทยยังไม่มีกฎหมายรองรับปัญหาการอุ้มบุญ ซึ่งกระบวนการดังกล่าวถือว่าเป็นการค้ามนุษย์อย่างหนึ่ง โดยแสวงหาผลประโยชน์จากการทำธุรกิจการค้า ดังนั้นจึงควรต้องใช้กฎหมายด้านปราบปรามการค้ามนุษย์เข้าดำเนินคดีกับบุคคลที่เกี่ยวข้องในขบวนการเหล่านี้  ส่วนกรณีเด็กที่เกิดจากแม่อุ้มบุญ ประเทศไทยไม่มีกฎหมายรองรับ ขณะที่ตามกฎหมายแล้ว สิทธิการดูแลเด็กจะเป็นของแม่ผู้ตั้งครรภ์หรือผู้ให้กำเนิด ซึ่งบุคคลอื่นไม่สามารถรับเด็กไปเลี้ยงหรือพาเด็กออกนอกประเทศได้หากแม่อุ้มบุญไม่ยินยอม และแม้ว่าแม่อุ้มบุญจะยินยอมสมัครใจรับจ้างตั้งครรภ์ แต่ก็ถือว่าไม่มีความผิดทางอาญาและทางปกครอง ยกเว้นแต่จะต้องเกิดความเสียหายต่อแม่อุ้มบุญหรือตัวเด็กจนถึงขั้นเสียชีวิตหรือบาดเจ็บเท่านั้น ถึงจะเอาผิดทางอาญาได้ โดยสามารถดำเนินคดีได้ก็เพียงแค่ตาม พ.ร.บ.สถานพยาบาล 2541 เท่านั้น
นายจรัญ เห็นว่า รัฐควรจะต้องออกกฎหมายเกี่ยวกับปัญหาการรับตั้งครรภ์แทน เพื่อป้องกันการแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบ หรือกฎหมายอุ้มบุญให้ครอบคลุมทุกด้าน นอกจากนี้ควรจะต้องมีกฎหมายรองรับในเรื่องการดูแลแม่อุ้มบุญด้วย ซึ่งรัฐควรจะเร่งให้เร็วที่สุด โดยเท่าที่ทราบกฎหมายฉบับนี้มีการร่างขึ้นมาแล้ว แต่ยังค้างการพิจารณาในสภา จึงขอให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เร่งผลักดันกฎหมายฉบับนี้เพื่อนำมาบังคับใช้ให้เร็วที่สุดด้วย
สอบพ่อแกมมี่พบมีคดีอนาจารเด็กด้านสถานีโทรทัศน์ ช่องไนน์ นิวส์ ของออสเตรเลีย รายงานว่า หน่วยงานคุ้มครองเด็กของออสเตรเลีย กำลังตรวจสอบครอบครัวชาวออสเตรเลีย ที่กำลังมีข้อพิพาทกับหญิงไทยที่รับเป็นแม่อุ้มบุญและคลอดลูกฝาแฝดชายหญิง หลังมีข่าวว่า พ่อโดยสายเลือดของเด็กเคยต้องโทษคดีกระทำอนาจารเด็ก เพื่อประเมินความเสี่ยงว่า เด็กหญิงหนึ่งในคู่แฝดที่พากลับไปออสเตรเลียตกอยู่ในอันตรายหรือไม่ 
ทางการระบุว่า สองสามีภรรยา เดวิด กับเวนดี้ ฟาร์เนลล์ ไม่อยู่บ้าน ตอนที่เจ้าหน้าที่จากหน่วยงานคุ้มครองเด็กไปที่บ้านของพวกเขา ในเมืองบันด์บิวรี ทางตอนใต้ของเมืองเพิร์ธ เมื่อคืนวันอังคาร แต่พบว่ามีสื่อมวลชนไปรวมตัวกันอยู่ที่บริเวณบ้านของพวกเขาเช่นกัน 
บันทึกของศาลระบุว่า เดวิด ซึ่งเป็นช่างไฟฟ้าวัย 56 ปี เคยถูกตัดสินว่ามีความผิดในข้อหากระทำอนาจารเด็กอายุต่ำกว่า 13 ปี เมื่อคริสต์ทศวรรษที่ 1990 โดยสถานีโทรทัศน์เอบีซี รายงานว่า เดวิดต้องโทษจำคุก 3 ปี ในข้อหาลวนลามเด็กผู้หญิง 2 คน ที่อายุต่ำกว่า 10 ปี ซึ่งในขณะนั้นเขาเพิ่งจะมีวัย 20 กว่า และถูกกล่าวหากระทำอนาจารเด็กอีก 6 ข้อหา ในปี 2540 และรับโทษจำคุก 18 เดือน 
นายกฯออสซี่วอนหยุดทำอุ้มบุญครอบครัวฟาร์เนลล์ เดินทางกลับไปยังออสเตรเลียพร้อมแฝดเพศหญิง โดยปฏิเสธว่า ไม่รู้เรื่องน้องแกมมี่ ขณะแม่อุ้มบุญยืนยันว่า พวกเขาสนใจแต่แฝดเพศหญิงและไม่เหลียวแลน้องแกมมี่ เธอบอกด้วยว่า รู้สึกช็อกเมื่อทราบประวัติของพ่อเด็ก และอยากจะได้แฝดเพศหญิงกลับคืนมา แต่ก็ขึ้นอยู่กับกฎหมายด้วย
นายกรัฐมนตรีโทนี แอบบอตต์ ของออสเตรเลีย กล่าวเพิ่มเติมเมื่อวันพุธว่า ประเด็นต่างๆ เช่น ประวัติด้านอาชญากรรมของพ่อของน้องแกมมี่ จะอยู่ในความดูแลของตำรวจรัฐและหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายของรัฐ พร้อมเรียกร้องอีกครั้งให้ชาวออสเตรเลียปฏิบัติตามกฎหมาย เขาเข้าใจดีว่า ความปรารถนาที่จะมีลูกอาจนำไปสู่การกระทำที่สิ้นคิดได้