svasdssvasds
เนชั่นทีวี

เจาะประเด็นร้อน

อิทธิฤทธิ์เงินทอน "พงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์" ฤาพระผู้ใหญ่ไม่เสน่หา?

31 สิงหาคม 2560
เกาะติดข่าวสาร >> Nation Story
logoline

เรื่องของเรื่องก็เป็นจริงจนได้ เมื่อมีคำสั่งโยกย้าย พ.ต.ท.พงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์ ไปเข้ากรุ! จนเจ้าตัวต้องโอดว่าตำแหน่งผอ.สำนักพุทธฯ เป็นงานหนักที่สุดแล้วในชีวิต!

ตอนแรกเห็นเงียบๆ ไป จากที่เคยเจอหน้าออกสื่อแทบทุกต้นชั่วโมง สำหรับพ.ต.ท.พงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์

มารู้อีกทีกำลังเจองานเข้า เมื่อมติสมาพันธ์ชาวพุทธแห่งประเทศไทย เรียกร้องให้ปลดเขาออกจากตำแหน่ง ผอ.พศ. !!

และแน่นอน เรื่องนี้ไม่เกินที่จะคาดเดาว่า มีสาเหตุจากกรณีที่เขาออกมาให้ข่าว "เงินทอนวัด" จนเกิดเป็นกระแสในสังคม ให้ต้องถกเถียงกันเป็นวงกว้างอยู่ก่อนหน้านี้

ที่สุดวันที่29 สิงหาคม 2560เรื่องของเรื่องก็เป็นจริงจนได้ เมื่อข่าวระบุว่ามีคำสั่งโยกย้าย พ.ต.ท.พงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์ จากตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ให้ย้ายไปดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรีแทน เพื่อผลประโยชน์ต่อทางราชการ

งานนี้ไม่น่าแปลกใจ เพราะมีข่าวลือหนักขึ้นในช่วงหลัง ท่ามกลางความเป็นห่วงจากฝ่ายกองเชียร์ที่เห็นผลงานการสร้างความโปร่งใสให้แก่วัดในพุทธศาสนาอย่างที่รู้กันว่า วัดขนาดใหญ่บางแห่งในประเทศไทย ถูกมองว่าเป็นแหล่งฟอกเงิน จากช่องว่างของกฎระเบียบที่มีอยู่

ฝั่งไม่โอเค ก็อย่าง "สมาพันธ์ชาวพุทธแห่งประเทศไทย" ที่ออกมาโวยวายว่าคือการสร้างความเสื่อมเสีย ความเสียหายในคณะสงฆ์อย่างร้ายแรงอีกด้วย

ลำพังสมาพันธ์ชาวพุทธแห่งประเทศไทย คงไม่เท่าไหร่ หากแต่บรรดา"พระชั้นผู้ใหญ่"ที่มีชื่อเสียงต่างออกมาแสดงความคิดเห็นในเรื่องดังกล่าวและต่างยืนยันในความบริสุทธิ์นี่สิเป็นเรื่อง "เครียด" ไปถึงรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา

ที่โด่งดังคือ พระเทพปฏิภาณวาที หรือ เจ้าคุณพิพิธ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสุทัศนเทพวรารามราชวรมหาวิหาร ที่ให้สัมภาษณ์สื่อหลายครั้ง ตัดพ้อต่อว่าทั้งร้อยแก้วร้อยกรองสัมผัสนอกสัมผัสใน แถมบอกว่า เครือข่ายพระสังฆาธิการแห่งคณะสงฆ์ไทยขอคว่ำบาตรต่อกันกับ ผอ.พศ.คนนี้!!

ที่สัมผัสได้ชัดเจนคือ ผอ.สำนักพุทธฯ คนนี้ โดนถล่มอย่างหนักหน่วงในท่ามกลางสงฆ์สองฝ่ายที่ก็รู้กันอยู่ว่า ด้านเครือข่ายพระสังฆาธิการแห่งคณะสงฆ์ไทยก็อิงกับสายของธรรมกายมาโดยตลอด ขณะที่สำนักพุทธฯ ส่วนใหญ่แล้วต้องสนองงานต่อมหาเถรสมาคม

โดยเฉพาะเรื่องต้นเหตุ คือพศ. และกองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตฯ (ปปป.ตร.) เข้าไปสอบปากคำ"พระชั้นผู้ใหญ่"ในวัดพิชยญาติการามวรวิหาร และวัดปากน้ำ ภาษีเจริญกรณีการใช้จ่ายงบฯ หลวง ในการบูรณปฏิสังขรณ์วัด

ดังที่ทราบกันวัดพิชยญาติการามวรวิหาร หรือ "วัดพิชัยญาติ" ฝั่งธนบุรี เจ้าอาวาสคือ "สมเด็จสมศักดิ์"สมเด็จพระพุทธชินวงศ์สมเด็จพระราชาคณะฝ่ายมหานิกายและเจ้าคณะใหญ่หนกลาง

มาถึงตรงนี้ หลายคนอดถามอีกทีไม่ได้ว่าเจ้าตัวจะรู้สึกเช่นไร จากที่เคยตอบมาแล้วว่า ได้หมดถ้าสดชื่น "ใครใคร่ย้าย...ย้ายใครอยากทำอะไร...ทำส่วนตัวจะได้พักผ่อนเสียที!

จนมาวันนี้เจ้าตัวยังคงตอบเช่นเดิมโดยเอาความนิ่งเข้าสยบตามสไตล์เป็นคนธรรมะธัมโม ตัดผมทรง "มหาจำลอง" ว่า

"ไม่รู้สึกแปลกใจ หากต้องถูกโยกย้าย เพราะมีความพยายามมาหลายครั้งแล้ว ในฐานะข้าราชการ ต้องทำตามคำสั่งผู้บังคับบัญชา ไม่มีการโต้แย้งต้องทำตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย"

"ตั้งแต่รับราชการมา ตำแหน่งผอ.สำนักพุทธฯ เป็นงานหนักที่สุดในชีวิต"

หนักไม่หนัก ก็อย่างที่รู้กันว่า พ.ต.ท.พงศ์พร เข้ามานั่งเก้าอี้ ผู้อำนวยการสำนักพุทธฯ เมื่อ 25 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา

โดยหากดูจากผลงานที่เคยดูแลคดีรถเบนซ์ของวัดปากน้ำ ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษมาก่อน ก็น่าจะเข้าใจได้ว่า มีการมอบหมายงานในวาระอื่นๆ นอกเหนือจากในกระดาษได้บันทึกไว้

อย่างตอนที่เข้ามารับตำแหน่งผอ.พศ.ก็อยู่ในช่วงที่กำลังมีการดำเนินคดีกับวัดพระธรรมกายอยู่พอดี ก็ชัดเจนว่า รับงานนี้มาโดยเฉพาะด้วย

แต่เมื่องานนี้ คือ การตรวจสอบ แรงกระเพื่อมย่อมสะท้อนมาถึงตัวเขา โดยช่วงเดือนกรกฎาคม ที่ผ่านมา พ.ต.ท.พงศ์พรออกมายอมรับเองว่า ถูกคว่ำบาตรจากคณะสงฆ์จริง โดยถูกแจกใบปลิวตำหนิการทำงาน

ตอนนั้นเจ้าตัวก็ลั่นว่า "จะเดินหน้าต่อไป" เพียงแต่การทำงานของ พศ.ทำได้เพียงเรื่องที่เกี่ยวกับวินัยเท่านั้น ส่วนคดีอาญาเป็นหน้าที่ของตำรวจ และทุกอย่างเป็นไปตามพยานหลักฐาน โดยไม่มีการกลั่นแกล้งและปฏิบัติเท่าเทียมกันกับคนทุกคนในสังคม

ที่สุดนอกจากจะมีการย้าย รอง ผอ.พศ.เซ่นกรณีเงินทอนวัดไปแล้ว ด้านคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ก็ได้พิจารณากรณีการตรวจสอบการทุจริตเงินอุดหนุนงบประมาณบูรณปฏิสังขรณ์วัด 12 คดีตามที่ ปปป.ตร.ส่งสำนวนมาแล้วอีกด้วย

เวลานั้น หลายคนเชื่อว่า ลึกๆ แล้ว ผอ.สำนักพุทธฯคนนี้ อาจจะยังอุ่นใจว่า ยังไงๆ คนที่มองเห็นคุณค่าและผลงานก็คือ นายกฯ ประยุทธ์ ของเรานี่เองดังนั้นอะไรจะมาฉุดก็คงทำอะไรไม่ได้

แต่แล้ว พอมีเรื่องราวกดดันหนักเข้า คำตอบสุดท้ายของ "บิ๊กตู่" จึงกลับกลายออกมาอย่างที่เห็น นัยว่าเพื่อไม่ให้บัวช้ำน้ำขุ่นกันในพระพุทธศาสนา

ขนาดออมสิน ชีวะพฤกษ์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ยังอ้ำอึ้ง และย้ำว่า

"การโยกย้ายครั้งนี้เป็นแนวคิดของใคร ของนายกฯ และรองนายกฯ ที่รับผิดชอบ และยืนยันไม่มีการบีบจากพระชั้นผู้ใหญ่"

ดังนั้น จากการที่เจ้าตัวพูดว่า "งานนี้หนักสุดแล้ว" ก็คงเข้าใจได้ไม่ยาก!!

logoline