นายวัฒนา ระบุอีกว่า การจัดซื้อเครื่องตรวจจับความเร็วไม่ใช่กรณีเร่งด่วนฉุกเฉิน จึงควรตั้งเป็นงบประมาณรายจ่ายประจำปีเพื่อให้สามารถตรวจสอบการใช้เงินได้ และหน่วยงานที่จะใช้เครื่องต้องมีอำนาจจับกุมการใช้ความเร็วเกินกำหนด ได้แก่ สตช. และกรมการขนส่งทางบก ส่วน ปภ. ไม่มีอำนาจกลับเป็นคนขอใช้งบประมาณ รวมถึงราคาสูงเครื่องละ 670,000 บาท เพราะตรวจวัดความเร็วได้ไม่น้อยกว่า 320 กิโลเมตร/ชั่วโมง
นายวัฒนา ยังกล่าวต่อว่า โดย พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย ให้เหตุผลว่า นำมาใช้ในถนนชุมชนหรือถนนสายรองที่เป็นทางเชื่อมต่อระหว่างอำเภอ ตำบล และหมู่บ้าน ที่มีสถิติเสียชีวิตมาก แต่ความจริงอุบัติเหตุเกิดขึ้นจากสาเหตุอื่น เช่น หลับใน หรือแซงในที่คับขัน ไม่ได้เกิดจากการใช้ความเร็วเกินกำหนดเพราะสภาพของถนนชุมชนหรือถนนสายรองรถวิ่งเร็วไม่ได้อยู่แล้ว
"นอกจากจะไม่มีความจำเป็นที่ต้องซื้อแล้ว ยังกำหนดคุณสมบัติที่สูงเกินความจำเป็น ผลคือต้องใช้เงินจำนวนมากโดยเปล่าประโยชน์ ยังไม่นับรวมถึงความไม่สมเหตุผลของการใช้งานที่ต้องใช้คนถือ และแอบนำเข้า ครม. ซึ่งคล้ายกับการอนุมัติซื้อเรือดำน้ำ" นายวัฒนา กล่าว