หากย้อนกลับไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว พลเอกเฉลิมชัย เป็นคนออกมาให้สัมภาษณ์ยอมรับเองว่า กองทัพบกได้สั่งยุติการใช้เรือเหาะในภารกิจเฝ้าตรวจทางอากาศที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ จนกลายเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง และสังคมถามหาความรับผิดชอบจากอดีต ผบ.ทบ.อย่าง พลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา ที่ตัดสินใจจัดซื้อเมื่อปี 2552 ตลอดจนรัฐบาลคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่อนุมัติงบประมาณ
ต่อมาเมื่อวันพุธที่ 20 กันยายน พลเอกเฉลิมชัย เข้าพบนายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ทำเนียบรัฐบาล และมีการปิดห้องคุยกันนาน 40 นาที จนมีการวิเคราะห์กันว่า เป็นการเข้าไปชี้่แจงเรื่องเรือเหาะหรือไม่
กระทั่งวันนี้ พลเอกเฉลิมชัย ได้ออกมาชี้แจงเรื่องเรือเหาะอีกครั้งหนึ่ง โดยเป็นการอธิบายค่อนข้างยาว ยืนยันว่าจุดประสงค์ของการจัดซื้อในตอนแรก เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติการทางยุทธวิธีของเจ้าหน้าที่ที่ชายแดนใต้ โดยเป็นการจัดซื้อตามขั้นตอนปกติ มีคณะกรรมการพิจารณา แม้ภายหลังมีการร้องเรียนว่าไม่มีการสอบราคาก่อนจัดซื้อ แต่คณะกรรมการ ป.ป.ช.ก็ได้เข้ามาตรวจสอบแล้ว และไม่พบสิ่งผิดปกติ พร้อมย้ำว่า แนวคิดในการนำเรือเหาะมาใช้งานถือว่าตอบโจทย์ แต่เนื่องจากเป็นยุทโธปกรณ์ใหม่ที่ไม่เคยมีการใช้งานมาก่อนในภูมิภาคนี้ ทำให้มีปัญหาขลุกขลักบ้าง
ผบ.ทบ.ยังบอกอีกว่า สมัยดำรงตำแหน่งผู้ช่วย ผบ.ทบ. เคยลงไปตรวจสอบสถิติการใช้งานเรือเหาะ พบว่าใช้งานน้อยลงมาก บางปีแค่ 30 ครั้ง จึงให้มีการตรวจสอบปัญหา และตั้งคณะกรรมการขึ้นมาพิจารณาความคุ้มค่าในการใช้งาน หรือการส่งซ่อม คณะกรรมการพิจารณาว่าการชำรุดของผืนผ้าใบเป็นไปตามห้วงระยะเวลา ไม่คุ้มค่าสำหรับการส่งซ่อม จึงต้องจำหน่ายในส่วนนี้
ผบ.ทบ.ย้ำว่า เรือเหาะมีความคุ้มค่าในการใช้งาน เนื่องจากทำให้สถิติการปฏิบัติการของฝ่ายตรงข้ามลดลง ฉะนั้นจึงพร้อมชี้แจงกับสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน หรือ สตง. ที่จะเข้ามาตรวจสอบเรื่องนี้ โดยจะสรุปตัวเลขสถิติการใช้ที่ชัดเจนส่งให้ สตง.