"ประยุทธ์"ลั่นไม่จบพร้อมปิดประเทศ

การประชุมร่วมของ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ, คณะรัฐมนตรี สภานิติบัญญัติแห่งชาติสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ และคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ หรือที่เรียกว่า แม่น้ำ5 สายครั้งนี้ ถือเป็นครั้งแรกของสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ พล.อ.ประยุทธ์ได้มอบนโยบายการดำเนินงานร่วมกันของเครือข่ายทั้ง 5 องค์กร ให้ยึดหลักการทำงานเพื่อชาติพัฒนาและทำให้ประชาชนทั้งประเทศมีความสุขและพอใจ รวมถึงต้องให้ประเทศหลุดพ้นกับดักสำคัญคือความขัดแย้ง

พล.อ.ประยุทธ์มองว่าความขัดแย้งในประเทศเกิดขึ้นเพราะมีคนทะเลาะกันเรื่องประชาธิปไตยดังนั้นการแก้ไขต้องหาประเด็นที่เป็นจุดร่วมกันก่อน ส่วนจุดที่ยังร่วมกันไม่ได้ให้หยุดไว้

งานที่ คสช. ดำเนินการทั้งในระยะแรกคือการแก้ไขปัญหาความขัดแย้ง ให้ประเทศสงบ โดยขณะนี้อยู่ระหว่างงานระยะที่สองคือการมีสภาต่างๆ เพื่อวางกติกา ไปสู่การเลือกตั้ง เพื่อให้ได้รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งดำเนินการต่อดังนั้นในช่วงที่ คสช. ดำเนินการตามโรดแม็พต้องเลิกปลุกปั่น บิดเบือนหรือสร้างความเกลียดชังส่วนคนที่หนีไปอยู่ต่างประเทศควรกลับเข้ามาพิสูจน์ทราบตามกระบวนการยุติธรรมอย่ากล่าวให้ร้ายหรือประจานประเทศอยู่ที่ต่างประเทศซึ่งตนรู้สึกอับอาย

พล.อ.ประยุทธ์ ยังบอกด้วยว่าถ้าเปรียบประเทศเรา เหมือนมีแม่น้ำประชาธิปไตยของทุกท่านขวางอยู่สายหนึ่ง ส่วนคสช. และกรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญ ที่เข้ามา คือสะพานข้ามน้ำประชาธิปไตยที่ขัดแย้ง และอยากให้ทุกคนข้ามสะพานไปด้วยกันเพื่อไม่ให้มีการแบ่งฝ่าย และเกิดความขัดแย้งอีก

พล.อ.ประยุทธ์ ย้ำว่าไม่อยากอยู่ในตำแหน่งนี้นานๆ เหมือนพวกกเฬวรากพูดอยู่นอกสภาซึ่งคนพวกนี้ไม่เคยสัญญาว่าจะไม่ทำผิดกฎหมาย รวมทั้งยังบอกด้วยว่าจากนี้ไปจะต้องเตรียมคนที่เหมาะสมไปทำหน้าที่ เหมือนกับระบบทหาร แล้วต้องเปลี่ยนความคิดของผู้บริหารคนที่ต้องเน้นการดูแลประชาชน สร้างขีดความสามารถของการแข่งขันไม่ใช่ให้มีรัฐสวัสดิการจำนวนมากเพียงอย่างเดียว

นายกรัฐมนตรี บอกว่าที่ผ่านมารัฐบาลพยายามแก้ไขความขัดแย้งและแก้ปัญหาให้ประชาชนที่นักการเมืองก่อไว้ทั้งเรื่องจำนำข้าว เรื่องชาวนา ซึ่งการขับเคลื่อนการปฏิรูปต้องไม่มองแต่ภาพซ้ายหรือภาพขวาเท่านั้น ต้องมองให้เป็นภาพรวมต้องทำใหม่ ต้องปฏิรูปทั้งนี้ต้องคำนึงถึงการให้ประเทศเดินหน้า

นอกจากนี้ พล.อ.ประยุทธ์ยังพูดถึงการดำเนินคดีตามมาตรา 112 ด้วยว่า เป็นเรื่องที่ยอมไม่ได้เหตุผลสำคัญถึงต้องมี มาตรา112 ในประเทศไทยเนื่องจากในต่างประเทศไม่นึกว่าจะมีอย่างนี้ เพราะต่างชาติเขามองด้วยมุมความเจริญประชาชนมีการศึกษาสูง เสียภาษีรายได้ใกล้เคียงแต่กรณที่เกิดขึ้นผมเรียกมาปรับทัศนคติ ก็มีคนบอกว่าทำผิดดังนั้นหากพบคนผิดก็ไม่ต้องเรียกตัวอีก จับติดคุกไปเลยดีหรือไม่ส่วนกรณีที่เรียกคนมาปรับทัศนคติก็บอกว่าไปละเมิดสิทธิมนุษยชน เป็นพ่อมันหรือไงแบบนี้บ้านเมืองเสียหายกันหมด

ในตอนท้าย พล.อ.ประยุทธ์ขอนักการเมืองให้เลิกพูด หากไม่เลิกก็จะอยู่แบบนี้ หากจะถึงขั้นต้องปิดประเทศก็จะทำ