svasdssvasds
เนชั่นทีวี

การเมือง

พิพากษา "นพดล ปัทมะ" 4 ก.ย.! เอื้อกัมพูชาขึ้นทะเบียนเขาพระวิหารฝ่ายเดียว

21 สิงหาคม 2558
เกาะติดข่าวสาร >> Nation Story
logoline

ลุ้นพิพากษา นพดล ปัทมะ อดีต รมว.ต่างประเทศปี 51 ป.ปช. ฟ้องปฏิบัติหน้าที่มิชอบ เสนอแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา เอื้อกัมพูชาขึ้นทะเบียนเขาพระวิหารเป็นมรดกโลกฝ่ายเดียว บ่ายครึ่ง 4 ก.ย.นี้ หลังคดีขึ้นศาลฎีกานักการเมือง 2 ปี ไต่สวน อดีตอธิบดีกรมสนธิสัญญา บัวแก้ว พยานปากสุดท้ายเสร็จ


21 ส.ค. 58 - ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ถ.แจ้งวัฒนะ นายประเสริฐ โอนพรัตน์วิบูล รองประธานศาลฎีกา เจ้าของสำนวนคดีหมายเลขดำ อม.3/2556 พร้อมองค์คณะผู้พิพากษา รวม 9 คน ไต่สวนพยานจำเลย นัดสุดท้ายในคดี ที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ( ป.ป.ช.) เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง นายนพดล ปัทมะ อดีต รมว.ต่างประเทศสมัยรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช เมื่อปี 2551 และที่ปรึกษากฎหมายของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นจำเลย ในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้ใดผู้หนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 ในกรณีที่นายนพดล ไปลงนามในแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา ฉบับลงวันที่ 18 มิ.ย.51 ที่สนับสนุนให้ประเทศกัมพูชาขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก โดยไม่ผ่านการพิจารณาของรัฐสภาไทย
นายสิทธิโชค ศรีเจริญ ทนายความของ ป.ป.ช. โจทก์ เปิดเผยภายหลังการไต่สวนเสร็จสิ้นว่า วันนี้นายกฤต ไกรกิติ อดีตอธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ มาเป็นพยานฝ่ายจำเลยเข้าไต่สวนเพียงปากเดียว เมื่อไต่สวนพยานครบทุกประเด็นแล้ว ศาลได้กำหนดนัดฟังคำพิพากษา ในวันที่ 4 ก.ย. นี้ เวลา 13.30 น. โดยให้คู่ความทั้ง 2 ฝ่าย ยื่นคำแถลงปิดคดี ภายในวันที่ 28 ส.ค. นี้ ซึ่งปลายสัปดาห์ทีมทนายความของ ป.ป.ช. ก็จะประชุมหารือกันเพื่อร่างคำแถลงปิดคดี ส่งต่อศาลให้ทันภายในกำหนดดังกล่าว
นายสิทธิโชค ทนายความ ป.ป.ช.โจทก์ กล่าวอีกว่า คดีนี้ฝ่าย ป.ป.ช. นำพยานเข้าไต่สวนกว่า 10 ปาก โดยมีทั้งพยานในกลุ่มของข้าราชการกระทรวงต่างประเทศ ซึ่งพยานปากสำคัญที่นำเข้าไต่สวนเป็นปากแรกคือนายวีรชัย พลาศรัย ที่ดำรงตำแหน่ง อธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย เมื่อปี 2551 ได้บอกเล่าความเป็นมาเกี่ยวกับประเด็นข้อพิพาทเขาพระวิหารและการดำเนินการต่างๆ ซึ่งนายวีรชัย ได้เข้าไปเกี่ยวข้องและรับรู้ ตั้งแต่ในช่วงแรก และพยานในกลุ่มของนักวิชาการที่ได้มีการติดตามปัญหาข้อพิพาทเขาพระวิหาร โดย ป.ป.ช. โจทก์ก็ได้พยายามนำสืบให้ศาลเห็นว่าการกระทำของ นายนพดล ที่เสนอแถลงการณ์ไทย-กัมพูชานั้น มีลักษณะที่เป็นการเอื้อประโยชน์ให้ประเทศกัมพูชา ขอจดทะเบียนขึ้นมรดกโลกเพียงฝ่ายเดียว โดยที่ยังมีปัญหาข้อพิพาทเกี่ยวกับพื้นที่ทับซ้อนโดยรอบเขาพระวิหาร ซึ่งเคยมีการเสนอให้ไทยกัมพูชาร่วมกันบริหารจัดการนั้น เป็นการกระทำโดยชอบหรือไม่
ขณะที่การเสนอประเด็นข้อพิพาทเขาพระวิหารที่สุ่มเสี่ยงกับเขตแดนนั้น ศาลรัฐธรรมนูญก็เคยมีคำวินิจฉัยว่าจะต้องมีการเสนอให้รัฐสภามีความเห็นชอบ ขณะที่การต่อสู้คดีฝ่ายของนายนพดล ก็นำพยานเข้าสืบกว่า 10 ปาก
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า คดีนี้ ป.ป.ช. ได้ยื่นฟ้องคดีต่อศาลฎีกาฯ เมื่อวันที่ 19 มี.ค. 56 โดยศาลฎีกาฯ มีคำสั่งให้ประทับรับฟ้องคดีไว้พิจารณา เมื่อวันที่ 26 เม.ย.56 ซึ่งนายนพดล อดีต รมว.ต่างประเทศ ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา โดยชั้นพิจารณา ศาลฎีกาฯ ให้ นายนพดล จำเลย ได้ประกันตัวไปโดยตีราคาประกัน 2 ล้านบาท
ขณะที่คดีนี้ ป.ป.ช. โจทก์ ได้บรรยายเหตุการณ์ที่มีการกล่าวหานายนพดล กระทำผิดว่า เมื่อนายสมัคร สุนทรเวช รับหน้าที่นายกรัฐมนตรีแล้ว วันที่ 3-4 มี.ค.51 นายสมัครไปพบผู้นำกัมพูชาเรื่องขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก และนายนพดล รมว.ต่างประเทศ ขณะนั้น จำเลยไปหารือกับนายสก อาน รองนายกฯ และรมต.ประจำสำนักนายกฯกัมพูชา ที่ทางกัมพูชาของให้ไทยสนับสนุนการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหาร
จากนั้นจำเลยได้นำแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา ให้ข้าราชการกระทรวงต่างประเทศพิจารณา ทางนายวีรชัย พลาศรัย อธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมายในขณะนั้น มีบันทึกช่วยจำคัดค้านเรื่องดังกล่าว แต่จำเลยไม่เห็นด้วยจึงเสนอครม.ให้นายวีระชัย พลาศรัยพ้นจากตำแหน่ง ทั้งที่นายวีระศักดิ์ ฟูตระกูล ปลัดกระทรวงทักท้วง แต่จำเลยยังยืนยันว่าไม่สามารถรวมงานกับอธิบดีที่มีความคิดเช่นนี้ได้ ต่อมาจำเลยยังเดินทางไปเขมรอีกหารือกับนายสก อาน เรื่องปราสาทพระวิหารรวมไปถึงการกำหนดเขตทางทะเลระหว่างประเทศ และจะทำแถลงการณ์ร่วม โดยนำเรื่องเข้าที่ประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ แบบปิดบังอำพรางและมีเหตุจูงใจแอบแฝงอยู่
และเมื่อนำเข้าที่ประชุมครม.โดยไม่มีเอกสารแจกให้ที่ประชุมพิจารณาล่วงหน้า เพียงแต่แสดงแผนที่บนจอภาพ ใช้เวลา 15 นาที ซึ่งโจทก์เห็นว่า คำแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา นี้เป็นหนังสือสัญญาซึ่งต้องอยู่ภายใต้บังคับมาตรา 190 ของรัฐธรรมนูญ ต้องขออนุมัติจากรัฐสภา และ จะต้องออกเป็น พ.ร.บ.เพื่อให้เป็นไปตามหนังสือสัญญา และรับฟังความเห็นจากประชาชน

logoline