พระสุเทพ ปภากโร หรือนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตเลขาธิการ กปปส. พร้อมด้วยอดีตแกนนำและอดีตส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ประกอบด้วย พระเชน อาภาธโรหรือ เชน เทือกสุบรรณ พระชินวรณ์ จันทสาโรหรือ ชินวรณ์ บุญยเกียรติ และพระธีรภัทร จันทสีโล หรือธีระภัทร พริ้งศุลกะ ได้ลาสิกขาบทเมื่อเวลา 05.30 น. ที่วัดไตรธรรมมาราม อำเภอเมือง จังหวัดสุราษฎร์ธานี โดยมีอดีตแกนนำ กปปส. และอดีต ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ อย่าง นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย , นายชุมพล จุลใส , นายพุทฒิพงษ์ ปุณณกันต์ , นายสกลธี ภัทธิยกุล มารอรับหลังจากการลาสิกขาบท
หลังจากการลาสิกขาบท นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ซึ่งเปลี่ยนมาสวมชุดลำลองเสื้อเชิร์ตแขนยาวลายจุดสีฟ้าปักธงชาติด้านซ้าย สัญลักษณ์ กปปส. นุ่งกางเกงขายาวสีครีม ได้เดินทางมาที่วัดธารน้ำไหล สวนโมกขพลาราม อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี เพื่อทำบุญตักบาตรพระสงฆ์ใหม่รุ่นที่ 9 ที่พระสุเทพ ได้ทำพิธีอุปสมบทหมู่ เฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวให้เมื่อวานนี้ โดยมีครอบครัวและอดีตแกน กปปส. บางส่วนรออยู่ที่นี่ และเมื่อนายสุเทพได้เจอกับภรรยา คุณศรีสกุล พร้อมพันธุ์ ก็ได้เข้าสวมกอดทันทีด้วยความคิดถึง
นายสุเทพ บอกว่า ตลอดระยะเวลา 1 ปี 13 วัน ของการเป็นพระภิกษุสงฆ์ ได้รู้จักสำรวมตัวเองมากขึ้น และตั้งใจว่าจะบวชให้นานกว่านี้ แต่มีภารกิจที่จะต้องทำหน้าที่และอยู่ในช่วงเวลาที่เหมาะสม จึงตัดสินใจลาสิกขาออกมาเป็นประชาชนธรรมดา และจะทำหน้าที่ในฐานะประธานมูลนิธิมวลมหาประชาชนเพื่อการปฏิรูปประเทศ ไม่ได้ออกมารับตำแหน่งใดๆ โดยจะเปิดเผยรายละเอียดถึงการทำหน้าที่ต่อจากนี้ในวันที่ 30 กรกฎาคมนี้ ที่โรงแรมอินเตอร์คอนิเนนทัล กรุงเทพมหานคร
นายสุเทพ ยังบอกถึงคดีที่ยังค้างอยู่ โดยยอมรับว่าเป็นกังวลทุกคดี โดยเฉพาะคดีการชุมนุม กปปส. ระหว่างปี 2556 ถึง 2557 เนื่องจากฝ่ายตรงข้ามคือระบอบทักษิณยังมีอิทธิพลต่อการพิจารณาคดี แต่ยังคงเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรม พร้อมฝากถึงอดีตนายกรัฐมนตรี พันตำรวจโททักษิณ ชินวัตร เนื่องในวันคล้ายวัยเกิดเมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม ที่ผ่านมาว่า อยากให้สำรวจตัวเอง อย่ายึดมั่นถือมั่นใจตัวเอง
ส่วนเรื่องแนวทางการสร้างความปรองดอง นายสุเทพ บอกว่า หากมีแนวทางใดก็พร้อมคุยทุกฝ่ายหรือเสียสละเพื่อประเทศ แต่ในฐานะที่ตนเองมีส่วนได้เสีย ที่เป็นแกนนำการชุมนุม ก็ไม่สมควรได้รับการนิรโทษกรรม แม้จะมีข้อหาร้ายแรง ควรจะให้ดำเนินการเฉพาะประชาชนผู้ร่วมชุมนุม และต้องไม่รวมถึงคดีอาญาร้ายแรง โดยเฉพาะคดีตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 เพราะกระทบต่อความมั่นคงของชาติ