มาตรา 181"นายกฯ สามารถยื่นเรื่องให้ ส.ส.ลงมติว่าจะไว้วางใจ ให้ทำหน้าที่บริหารราชการแผ่นดินต่อไปหรือไม่ หากสภาลงมติไว้วางใจไม่ถึงกึ่งหนึ่ง นายกฯ ไม่จำเป็นต้องออกจากตำแหน่ง แต่ใช้วิธีการยุบสภาแทนได้"
มาตรา 182 "ให้อำนาจนายกฯ เสนอร่างพรบ.ต่อสภา จากความจำเป็นของการบริหารราชการแผ่นดินได้ และหาก สส.ไม่ได้ยื่นขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกฯ ภายใน 48 ชั่วโมง จะเท่ากับว่าสภาได้ให้ความเห็นชอบกับร่างพรบ."
เบื้องลึก เบื้องหลังกว่าจะได้สองมาตรานี้ ปรากฏว่าเกิดการถกเถียงกันในชั้นคณะ กมธ.ยกร่างฯ ถึงสองครั้งใหญ่ ครั้งแรกเกิดขึ้นเมื่อช่วงปลายเดือน ก.พ.ที่ผ่านที่พัทยา จ.ชลบุรี ส่วนครั้งที่ 2 เกิดขึ้นในช่วงปลายเดือน มี.ค.ก่อนส่งร่างรัฐธรรมนูญฉบับแรกให้ สปช.
กมธ.ยกร่างฯ จำนวนไม่น้อยแสดงความไม่เห็นด้วยกับการให้มีมาตรานี้ ซึ่งไปตรงกับเหตุผลและท่าทีของหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และ อ.สมบัติ ธำรงธัญวงศ์ ประธาน กมธ.ปฏิรูปการเมือง เพราะเห็นว่าเป็นการเพิ่มอำนาจให้กับนายกฯ มากเกินไป และยังไม่เหมาะสมกับบริบทของสังคมการเมืองไทย
ขณะที่กมธ.ยกร่างฯ ที่เห็นด้วยกับ 2 มาตรานี้ ชี้ แจงว่าไม่ได้เป็นการเพิ่มอำนาจ แต่เป็นการเพิ่มเสถียรภาพให้กับนายกฯ มีเครื่องไม้เครื่องมือเพื่อจัดการความขัดแย้งในสภาและยืนยันในหลักการ ให้มีมาตรา 181 และ 182 ไว้ในร่างรัฐธรรมนูญฉบับแรก
แต่ท่าทีล่าสุดของฝ่ายการเมือง และ สปช.หรือแม้แต่รัฐบาลอย่างรองนายกฯ ฝ่ายกฎหมาย อ.วิษณุ เครืองาม ก็แสดงท่าทีไม่เห็นด้วย และเริ่มมีความเข้มข้น เป็นแรงกฏดันให้มีการแก้ไขในชั้นของการแปรญัตติ ในช่วง 60 วันหลังจากนี้