ฮิวแมนไรต์ วอตช์ ค้านขึ้นศาลทหาร

ที่ปรึกษา ฮิวแมนไรต์ วอตช์ ประจำประเทศไทย สุนัย ผาสุก พูดถึงแนวทางที่รัฐบาลจะยกเลิกประกาศใช้กฎอัยการศึก และให้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ใช้อำนาจตามมาตรา 44 โดยกำหนดให้ศาลทหารมี 3 ชั้น ว่า ฮิวแมนไรต์ วอตช์ จะรอดูท่าทีของรัฐบาลให้ว่าจะมีความชัดเจนมากน้อยแค่ไหน ก่อนจะออกแถลงการณ์ เพื่อแดสงจุดยืน เพราะการคงศาลทหารที่นำมาใช้กับพลเรือน ไม่ว่าจะชั้นเดียว หรือ 3 ชั้น ก็ไม่ได้ตอบโจทย์ที่ ฮิวแมนไรต์ วอตช์ เรียกร้องต่อรัฐบาลไทยทั้งด้านความยุติธรรมตลอดจนด้านสิทธิมนุษยชน และไม่สอดคล้องต่อกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองฯ ที่ประเทศไทยเป็นภาคีอยู่ ซึ่งมาตรา 44 นี้ เป็นข้อกังวลที่สุดของ ฮิวแมนไรต์ฯ ตามที่ได้เคยแถลงการณ์มาแล้วครั้งหนึ่ง นับตั้งแต่ประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับนี้เมื่อปีที่ผ่านมา
คุณสุนัย บอกว่า การทำหน้าที่ของศาลทหารไม่อาจพิสูจน์ได้ถึงความยุติธรรม เพราะบุคลากรของศาลทหาร ตั้งแต่อัยการศาลทหาร ตลอดจนเจ้าพนักงานทุกคน อยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของรัฐมนตรีกลาโหม ที่ขึ้นตรงต่อรัฐบาลของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ทำให้เห็นว่า กระบวนการทำงานทางตุลาการของศาลทหารจะไม่เป็นไปอย่างอิสระ และเมื่อปรับให้เป็น 3 ชั้น แล้วก็จะไม่มีหลักประกัน ว่าจะเหมือนกับศาลพลเรือนตามกระบวนการยุติธรรมแบบปกติ สิ่งที่น่าห่วงกังวลคือ การให้อำนาจเจ้าหน้าที่สามารถควบคุมตัวผู้ต้องหาได้นานสูงสุดถึง 84 วัน ตามที่ สนช.ได้พิจารณาเห็นชอบให้แก้ไข พ.ร.บ.ธรรมนูญศาลทหาร เมื่อเดือน ก.พ. ที่ผ่านมา ท่ามกลางเสียงคัดค้านขององค์กรสิทธิสากลหลายแห่ง
ที่ปรึกษา ฮิวแมนไรต์ วอตช์ บอกว่า ปัญหาขององค์กรด้านสิทธิมนุษยชนสากลไม่ได้อยู่ที่ว่า คสช.จะใช้กฎหมายอะไรมาควบคุมความมั่นคง แต่อยู่ที่การเข้าสู่อำนาจของคสช.ที่มาจากการรัฐประหาร มีการใช้อำนาจเด็ดขาด ลิดรอนสิทธิเสรีภาพของประชาชนแนวทางยกเลิกกฎอัยการศึก มาใช้อำนาจตามมาตรา 44 จะเปลี่ยนรูปแบบการปกครองจากเดิมที่คณะทหารเป็นรัฎฐาธิปัตย์ มาเป็นการปกครองแบบเผด็จการเต็มรูปแบบ เพราะให้อำนาจแก่บุคคลคนเดียวสามารถใช้อำนาจเต็ม ที่สุดแล้วแนวทางนี้ก็จะไม่ได้รับการยอมรับจากนานาประเทศ แต่จะยิ่งร้ายแรงกว่าเดิมแน่นอน