การประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ หรือ สนช. มีวาระเร่งด่วน พิจารณาร่างพระราชบัญญัติภาษีการรับมรดก พ.ศ. .... ซึ่งคณะรัฐมนตรีเป็นผู้เสนอ กำหนดให้บุคคลผู้เสียภาษีจะต้องมีสัญชาติไทย หรือหากไม่ใช่สัญชาติไทย ต้องมีภูมิลำเนาในประเทศไทย หรือได้รับมรดกที่เป็นทรัพย์สินในไทย การรับมรดกที่ต้องเสียภาษี จะต้องมีมูลค่ามากกว่า 50 ล้านบาท โดยต้องเสียภาษี ร้อยละ 10 เฉพาะส่วนที่เกินกว่า 50 ล้านบาท และหากรับมรดกเพื่อกิจการศาสนา การศึกษา และสาธารณประโยชน์ ไม่ต้องเสียภาษี แต่หากไม่ยื่นเสียภาษี มีโทษปรับไม่เกิน 5 แสนบาท
โดยสมาชิก สนช.ให้ความสนใจ เห็นว่าควรยกเว้นการเสียภาษีสำหรับเกษตรกรที่รับมรดกที่ดินเพื่อใช้ในการเกษตรกรรม ซึ่งที่ประชุมจะพิจารณาอย่างรอบคอบเพื่อไม่เกิดปัญหาโต้แย้ง หลังจากที่ถูกเลื่อนมาตั้งแต่ต้นเดือนทีผ่านมา
ก่อนหน้านี้ ที่ประชุมครม.เห็นชอบร่าง พ.ร.บ.ภาษีการรับมรดก มีสาระสำคัญกำหนดให้ผู้ที่ได้รับมรดกจากเจ้าของมรดกที่เสียชีวิตหลังจากวันที่ร่างกฎหมายนี้มีผลบังคับใช้ เมื่อได้รับมรดกทุกชนิด ทั้งบ้าน ที่ดิน และสังหาริมทรัพย์ที่มีมูลค่าเกิน 50 ล้านบาท ต้องเสียภาษีในอัตรา 10%
โดย สนช. พิจารณาเห็นชอบ ก่อนประกาศลงราชกิจจานุเบกษาและมีผลบังคับใช้ใน 90 วัน คาดว่าอย่างเร็วที่สุด ภายในเดือน มิ.ย.58 นี้ กฎหมายฉบับดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้ได้
รองนายกฯ วิษณุ เครืองาม เผยหลักการของกฎหมายฉบับนี้ จะช่วยลดความเหลือมล้ำทางสังคมได้ และถ้าใครอยากจะหนี ไม่ใช้กฎหมายนี้ ก็ต้องชิงตายก่อนกฎหมายนี้จะออกมา ส่วนอัตราที่จัดเก็บ 10% นั้น เป็นเพดานสูงสุด ซึ่งจริงๆ แล้ว ในใจจริงๆ ของกระทรวงการคลัง คิดดังๆ ว่า อยากจะเก็บตรงกึ่งกลาง คือ 5% ก่อน แต่ในรายละเอียดกระทรวงการคลังคงไปดูกฎหมายประกอบอีกที ว่าจะกำหนอรายละเอียดการจัดเก็บอย่างไร
สำหรับกฎหมายนี้ กำหนดให้ผู้มีหน้าที่เสียภาษีการรับมรดก คือ บุคคลผู้มีสัญชาติไทย หรือผู้มิได้มีสัญชาติไทย แต่มีภูมิลำเนาหรือมีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ในประเทศไทยเป็นเวลา 3 ปี ติดต่อกันถึงวันมีสิทธิได้รับมรดก และบุคคลผู้มิได้มีสัญชาติไทย แต่ได้รับมรดกที่เป็นทรัพย์สินอยู่ในไทย และกำหนดให้ผู้ได้รับมรดกไม่ว่าจะได้รับมาในคราวเดียวหรือหลายคราว ถ้าแต่ละรายรวมกันแล้วมีมูลค่าเกิน 50 ล้านบาท ก็ต้องเสียภาษีเฉพาะส่วนที่เกิน 50 ล้านบาท
ขณะเดียวกันมีข้อยกเว้นไม่เก็บจากคู่สมรสที่ได้รับมรดก เพราะถือว่าก่อร่างสร้างตัวกันมา ขณะเดียวกัน ยังยกเว้นการเก็บภาษีดังกล่าวกับผู้ได้รับมรดกที่เจ้ามรดกแสดง เจตนาให้ใช้มรดกนั้นเพื่อประโยชน์ในกิจการศาสนา การศึกษา หรือสาธารณประโยชน์ หรือให้หน่วยงานของรัฐ และนิติบุคคลเพื่อกิจการศาสนา กิจการศึกษาหรือกิจการสาธารณประโยชน์ แต่จะเก็บจากทรัพย์ทุกชนิดที่ผู้ได้รับมรตกจากผู้ที่ตายหลังจากกฎหมายฉบับ นี้มีผลบังคับใช้แล้ว หากพบว่ามีมูลค่าเกิน 50 ล้านบาท