รองประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติหรือ สนช.พีระศักดิ์ พอจิต เผยหลังจาก ปปช. มีมติส่งเรื่องการถอดถอนอดีตประธานวุฒิสภา นิคม ไวยรัชพานิช กับอดีตประธานสภา สมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ในคดีการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่มา ส.ว.โดยมิชอบคืนกลับมายัง สนช.
หลังจากนี้ต่อไปจะเป็นหน้าที่ของประธาน สนช.ที่จะต้องบรรจุเป็นวาระภายใน 30 วัน ตามข้อบังคับการประชุม แต่ก่อนที่จะบรรจุเป็นวาระคาดว่าประธาน สนช.จะดำเนินการใน 2 แนวทางก่อน คือตั้งคณะกรรมการหนึ่งชุดขึ้นมาเพื่อพิจารณาก่อนหรือส่งให้วิป สนช.พิจารณา เพราะขณะนี้ยังมีความเห็นแย้งกัน
โดยเชื่อว่าสุดท้าย คงต้องหาข้อสรุปในที่ประชุม สนช.ตามมาตรา 5 ของรัฐธรรมนูญชั่วคราว โดยให้ที่ประชุม สนช.มีมติว่าจะรับคำร้องของ ปปช.ไว้พิจารณาหรือไม่ โดยต้องได้เสียงกึ่งหนึ่ง ซึ่งหาก สนช.มีติรับไว้ก็เข้าสู่กระบวนการพิจารณาถอดถอนบุคคลที่ดำรงตำแหน่งทางการเมืองต่อไป
ก่อนหน้านี้ เลขาธิการ ปปช.สรรเสริญ พลเจียก เผย ปปช.มีมติให้ดำเนินการถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองตามข้อบังคับของ สนช.กรณีถอดถอนคุณนิคม กับ สมศักดิ์ โดยเสียงข้างมาก เห็นว่าเป็นถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต มาตรา 64 ประกอบด้วยรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว 2557 มาตรา 6 วรรคสอง ระบุให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติทำหน้าที่สภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา และรัฐสภาจึงมีมติให้ส่งเรื่องไปยังประธาน สนช. เพื่อดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ต่อไป
ปปช.ยังมีมติเป็นหลักการเกี่ยวกับกรณีถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง กรณีถอดถอนอดีตนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตรโครงการรับจำนำข้าว และ กรณีถอดถอน อดีตสมาชิกวุฒิสภา จำนวน 39 ราย รวมทั้งการถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองอื่น
เมื่อถูกกล่าวหาว่าส่อจงใจใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อบทบัญญัติแห่งกฎหมายอื่นตามมาตรา 58 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 ซึ่งอยู่ในอำนาจหน้าที่ของ ปปช. ที่จะดำเนินการไต่สวนได้ จึงให้พนักงานเจ้าหน้าที่รวบรวมข้อมูลก่อนเสนอเข้าที่ประชุม ปปช.ชุดใหญ่มีความเห็น และส่งให้ สนช.ต่อไป