svasdssvasds
เนชั่นทีวี

ไลฟ์สไตล์

"ผู้ทรงอิทธิพล"แห่งแฟชั่นโลก 2017

19 พฤษภาคม 2560
เกาะติดข่าวสาร >> Nation Story
logoline

การประกาศรายชื่อ"100 บุคคลผู้ทรงอิทธิพลที่สุดในโลก"ของ Time ทุกปี มักมีชื่อของ"นางแบบโลก" ปรากฏอยู่ใน 100 บุคคลนี้ด้วย

ซึ่งนางแบบที่ถูกเลือกให้เป็นบุคคลทรงอิทธิพลที่สุดของ Time ประจำปี 2017 ก็ได้แก่ Ashley Graham นางแบบพลัสไซส์หุ่นอ้วนสุดฮอทในตอนนี้นั่นเอง

"ผู้ทรงอิทธิพล"แห่งแฟชั่นโลก 2017


ที่เธอเป็นสาวอ้วนคนแรก ซึ่งสามารถฉีกทุกกฏเหล็กของวงการแฟชั่นโลกได้หมด เพราะด้วยหุ่นอ้วนๆของเธอ แต่เธอกลับเอาชนะใจคนในวงการแฟชั่น เลือกเธอให้ทำงานแสดงแบบแฟชั่นในทุกรูปแบบ
ที่หากเป็นในอดีต นางแบบพลัสไซต์ไม่มีสิทธิและไม่มีทางจะได้ทำงานเหล่านี้แน่นอน แต่ตอนนี้ ไม่ว่านางแบบหุ่นเพรียวจะเคยจองพื้นที่การทำงานตรงไหนของวงการแฟชั่นโลก แต่ Ashley ก็จะตามไปเช็คบิล ได้ทำงานแบบนั้นเช่นเดียวกันโดยไม่ถูกเลือกปฏิบัติใครจะไปคิดว่า นางแบบอ้วนอย่างเธอ ในที่สุดก็ได้ขึ้นปกแม็กกาซีนแฟชั่นหัวใหญ่สุดของโลกแบบเดี่ยวๆ ทั้ง Vogue US,Vogue UK หรือแม้กระทั่งใส่บิกินี่ขึ้นปก Sport Illustrated Swim Suit Issue

"ผู้ทรงอิทธิพล"แห่งแฟชั่นโลก 2017



ทั้งหมดนี้จึงทำให้ Ashley กลายเป็น"ไอดอล"และ"แรงบันดาลใจ"ของสาวอ้วนทั่วโลก ได้เกิดความมั่นใจในตัวเอง และมีความสุขในการใช้ชีวิตแบบอ้วนๆขึ้นมาได้
แถม Ashley ยังย้ำว่า ไม่ใช่แค่อ้วนที่สวย แต่"ผู้หญิงทุกคนสวยหมด"ไม่ว่าคุณจะเกิดมามีรูปร่างหน้าตาแบบไหนก็ตาม
นอกจากนี้ Ashley ยังเดินสายโปรโมทหนังสือที่เล่าเรื่องเกี่ยวกับตัวเธอไปทั่วสหรัฐฯอีกด้วย กับหนังสือที่ชื่อว่า "A New Model Ashley Graham" ที่หนังสือก็ได้รับการตอบรับจากแฟนๆเป็นอย่างดี มารอเข้าคิวยาวเพื่อให้ Ashley เซ็นหนังสือให้
และนอกจากนางแบบโลกแล้ว แน่นอนว่า ในรายชื่อ "100 บุคคลผู้ทรงอิทธิพลที่สุดในโลก" ของ Time ทุกปี ก็ต้องมีชื่อของ "ดีไซเนอร์" ด้วย
โดยปี 2017 นี้ มีสองแฟชั่นดีไซเนอร์ระดับชั้นนำของโลก ติดอยู่ในรายชื่อผู้ทรงอิทธิพลคนแรกคือ Alessandro Michele (อเลสซานโดร มิเคเล่) แห่งแบรนด์ Gucci (กุชชี่) โดยมิเคเล่ เพิ่งเข้ามารับตำแหน่งครีเอทีฟไดเร็คเตอร์ของกุชชี่ เมื่อปี 2015 นี่เอง

"ผู้ทรงอิทธิพล"แห่งแฟชั่นโลก 2017


ซึ่งหลังจากที่กุชชี่ ประสบปัญหายอดขายตกรวมทั้งการออกแบบที่ไม่มีอะไรใหม่มาเซอไพรส์แฟนแฟชั่นได้มานานหลายปีแต่ปรากฏว่า การเข้ามาของมิเคเล่ กลับช่วยกอบกู้สถานะของกุชชี่ ให้ขึ้นมาอยู่แถวหน้าของวงการแฟชั่นโลกอีกครั้ง ได้ในช่วงเวลาเพียงข้ามคืน
ที่มิเคเล่ สร้างความฮือฮากันตั้งแต่โชว์คอลเลกชันแรกของเขาสำหรับกุชชี่ เมื่อช่วง Fall/Winter 2015 ซึ่งเป็นเสื้อผ้าสุภาพบุรุษ แต่ลุคแรกที่ปรากฏบนรันเวย์ ก็ปรากฏเป็นนายแบบ ที่มีผมยาวสีทองแสกกลาง ใส่เสื้อเบลาซ์สไตล์ผู้หญิงสีแดง ที่มีโบว์ประดับ!ซึ่งภาพจำของรันเวย์แฟชั่นโชว์กุชชี่ตลอดหลายปีที่ผ่านมาก็คือ นายแบบผิวแทน มีกล้ามท้อง แต่ไม่ใช่นายแบบลุคสาว

"ผู้ทรงอิทธิพล"แห่งแฟชั่นโลก 2017


แต่เพราะความกล้าเป็นผู้นำของมิเคเล่ ที่ต้องการฉีกขนบเดิมๆของแบรนด์ ด้วยการ"กล้าเสี่ยง"ที่จะเล่นกับคอนเซปต์"ไม่จำกัดเพศ"ก่อนแบรนด์อื่นๆนี่เอง จึงทำให้กุชชี่ถูกกล่าวขวัญถึง จนกลับมาแย่งพื้นที่ข่าวหน้าหนึ่งของสื่อแฟชั่นได้อีกครั้ง
นอกจากนี้ มิเคเล่ ยังมีจุดยืนชัดเจนในเรื่องการสนับสนุนศิลปะด้วย
ที่เขาได้สร้างโปรเจกต์ออนไลน์พิเศษต่างๆ โดยชวนเหล่าศิลปินร่วมสมัยหลายคนที่เด็กรุ่นใหม่ชื่นชม ให้มาร่วมออกแบบวิดีโอหรือภาพถ่าย โดยเอาสินค้าหรือลวดลายของกุชชี่ ไปแทรกอยู่ข้างในผลงาน
นอกจากนี้ มิเคเล่ ยังพยายามทำให่โลกนี้ไม่มีความแตกต่างทางด้านเพศและสีผิว ด้วยการสนับสนุนและเชิดชูนายแบบนางแบบที่เป็นกลุ่มคนข้ามเพศ รวมทั้งนายแบบนางแบบผิวดำ ให้ขึ้นมาเป็นนายแบบนางแบบหลัก บนรันเวย์แฟชั่นโชว์หรือในแคมเปญโฆษณาของกุชชี่อย่างต่อเนื่องด้วย
และคนแฟชั่นอีกคน ที่ถูกประกาศชื่อให้เป็นหนึ่งใน"100 บุคคลผู้ทรงอิทธิพลที่สุดในโลก"ของ Time ปีนี้ ก็คือ Raf Simons(ราฟ ซิมอนส์)

"ผู้ทรงอิทธิพล"แห่งแฟชั่นโลก 2017


ซิมอนส์ เริ่มโด่งดังในวงการแฟชั่นโลก เมื่อเขาได้ก่อตั้งแบรนด์เสื้อผ้า ที่ใช้ชื่อเดียวกันกับชื่อของตัวเขาเอง เมื่อปี 1995
และจากจุดนั้น ก็นำพา ซิมอนส์ ให้กลายมาเป็นนักออกแบบคนสำคัญ ที่รับหน้าที่ออกแบบเสื้อผ้าทั้งหมดให้กับแบรนด์ดังอย่าง Jil Sander (จิล แซนเดอร์) ในปี 2005
และจากชื่อเสียงทีี่ จิล แซนเดอส์ ก็นำพาซิมอนส์ มาสู่การย้ายไปเป็นนักออกแบบ ประจำห้องเสื้อเก่าแก่อย่าง Dior(ดิออร์) ในปี 2012
แต่ซิมอนส์ ดูแลดิออร์ ได้เพียง 4 ปี เขาก็ต้องย้ายไปดูแลแบรนด์ดังอย่าง Calvin Klein(คาลวิน ไคลน์) เมื่อช่วงปลายปี 2016 ที่ผ่านมานี่เอง

"ผู้ทรงอิทธิพล"แห่งแฟชั่นโลก 2017

เพราะด้วยการทำงานที่ผ่านมาของซิมอนส์ ที่มีแฟนคลับชื่นชอบผลงานของเขาอยู่ทั่วโลก ก็ทำให้คาลวินไคลน์ มั่นใจว่า ซิมอนส์ จะช่วยกอบกู้สถานการณ์ของแบรนด์ให้ดีขึ้นกว่าเดิม และทำให้แบรนด์กลับมาผงาดในระดับแถวหน้าของวงการแฟชั่นโลกได้อีกครั้ง
ด้วยฝีมือการออกแบบแฟชั่นของซิมอนส์ ที่โดดเด่นในแนวมินิมัล หรือที่เรียกว่า"น้อยแต่มาก"ซึ่งก็เป็นไปในแนวทางเดียวกันกับสไตล์ดั้งเดิมของคาลวินไคลน์พอดิบพอดี
แต่ ซิมอนส์ ก็คงไม่อาจหลีกเลี่ยงความกดดันที่จะเกิดขึ้นกับตัวเขาเอง กับความคาดหวังในความสำเร็จกับผลงานใหม่ที่เขากำลังพยายามทำให้คาลวินไคลน์ เพราะต้องถูกนำไปเปรียบเทียบกับความสำเร็จดั้งเดิม ที่เขาเคยทำได้ที่ จิล แซนเดอร์ และดิออร์ แน่นอน

logoline