นี่คือบรรยากาศบางช่วงบางตอนของการแถลงของนางซูจี โดยเธอกล่าวตอนหนึ่งว่า "รู้สึกอย่างลึกซึ้ง" ต่อความเจ็บปวดของทุกคนที่ตกอยู่ภายใต้ความขัดแย้งในรัฐยะไข่ และให้คำมั่นว่า "จะฟื้นฟูสันติภาพ เสถียรภาพ รวมทั้งการบังคับใช้กฎหมายอย่างเป็นธรรมทั่วรัฐยะไข่"
นางซูจี ยังกล่าวด้วยว่า เมียนมาไม่กลัวการตรวจสอบจากประชาคมโลกเกี่ยวกับเรื่องนี้ และขอประณามการละเมิดสิทธิมนุษยชนในทุกรูปแบบ ขณะเดียวกันเมียนมาต้องการสืบหาสาเหตุว่า เพราะเหตุใดชาวโรฮิงญาจึงอพยพออกจากเมียนมา เพราะยังมีชาวมุสลิมโรฮิงญาอีกจำนวนมากที่สามารถอยู่ร่วมกับคนในชุมชนได้อย่างสันติ จึงอยากขอเชิญชวนนักการทูตและสื่อมวลชนทั่วโลกเข้าพื้นที่ไปสอบถามมุสลิมเหล่านี้
ขณะเดียวกันรัฐบาลจะเริ่มต้นกระบวนการสร้างความหวังและกำลังใจให้ผู้ลี้ภัยเดินทางกลับมายังเมียนมา รวมทั้งจะจัดตั้งคณะที่ปรึกษา ซึ่งนำโดย นายโคฟี อันนัน อดีตเลขาธิการยูเอ็นด้วย
ที่ปรึกษาแห่งรัฐของเมียนมา ยังยืนยันว่า ไม่เคยเลือกปฏิบัติต่อชาวมุสลิมโรฮิงญา โดยในปัจจุบันชาวมุสลิมโรฮิงญาในเมียนมาสามารถเข้าถึงโครงการต่างๆ ของรัฐบาลทุกโครงการ รวมทั้งโครงการด้านการศึกษา ทั้งยังยอมรับว่า เมียนมากำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านสู่ระบบการปกครองรูปแบบประชาธิปไตย แต่ประชาธิปไตยของเมียนมายังไม่สมบูรณ์ จึงอยากให้ประชาคมโลกมีความเชื่อมั่นและศรัทธาเมียนมาในเรื่องนี้
ที่ผ่านมา ความไม่สงบในรัฐยะไข่ ทำให้ชาวโรฮิงญาหนีไปหาความปลอดภัยในค่ายผู้อพยพบังกลาเทศหลายระลอก สถานการณ์นี้ส่งผลให้ นางซูจี ตกเป็นเป้าการวิพากษ์วิจารณ์ว่าเพิกเฉยต่อการแก้ไขปัญหา ซึ่งนางซูจีระบุในคำแถลงด้วยว่า รับฟังข้อกล่าวหาต่างๆ ทั้งหมด และจะทำให้แน่ใจว่าข้อกล่าวเหล่านั้นวางอยู่บนพื้นฐานของหลักฐานที่แน่นหนา ก่อนที่จะดำเนินการใดๆ