ย้อนรอยคดีถอดถอน ปัก กึน-เฮ

26 ก.ค. สถานีโทรทัศน์ โชซุน รายงานว่า ทำเนียบประธานาธิบดีบังคับให้กลุ่มบริษัทยักษ์ใหญ่บริจาคเงินรวมเกือบ 80,000 ล้านวอนเข้ามูลนิธิ มีร์ องค์กรไม่แสวงผลกำไรเพื่อส่งเสริมวัฒนธรรมเกาหลีไปทั่วโลก และ อัน ชอง-บุม อดีตเลขานุการของประธานาธิบดีฝ่ายประสานงานนโยบาย ใข้อำนาจในการระดมทุนดังกล่าว แต่สื่อตั้งข้อสงสัยถึงเหตุผลในการตั้งมูลนิธิและใครเป็นผู้บริหารองค์กร
20 ก.ย.หนังสือพิมพ์ ฮันคโยเรห์ รายงานว่า ชเว ซุน-ซิล เพื่อนสนิทของประธานาธิบดีปัก เป็นผู้ก่อตั้งและบริหารมูลนิธิ มีร์ และองค์กรไม่แสวงผลกำไรอีกแห่ง คือ เคสปอร์ต ซึ่งได้รับเงินบริจากจากธุรกิจเอกชนเช่นกัน จุดประเด็นคำถามว่าชเวใช้สายสัมพันธ์ใกล้ชิดกับประธานาธิบดีรีดไถเงินจากบริษัทเพื่อจัดตั้งมูลนิธิ แต่ผู้นำหญิงปฏิเสธไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการระดมทุน
24 ต.ค. สถานีโทรทัศน์ เจทีบีซี รายงานว่า พบร่างสุนทรพจน์ของประธานาธิบดีหลายฉบับในแท็บเล็ตของชเว และเธอสามารถเข้าถึงข้อมูลชั้นความลับเกี่ยวกับความมั่นคงของชาติและกิจการด้านการต่างประเทศ ยิ่งเพิ่มความสงสัยว่าชเวมีอิทธิพลครอบงำประธานาธิบดีและก้าวก่ายกิจการของรัฐ
25 ต.ค. ประธานาธิบดีซึ่งเคยปฏิเสธข้อกล่าวหาเกี่ยวกับนางชเว ออกมาแถลงขอโทษต่อสาธารณชน ยอมรับว่ามีความใกล้ชิด และขอคำแนะนำจากชเวเกี่ยวกับสุนทรพจน์และการประชาสัมพันธ์
27 ต.ค. อัยการพิเศษเริ่มการสอบสวนคดีอื้อฉาว
30 ต.ค. ชเว กลับจากยุโรปและถูกจับกุมโดยยังไม่มีหมายจับที่สนามบินอินชอน
4 พ.ย. ประธานาธิบดีปักขอโทษครั้งที่สอง แต่ยืนยันไม่ได้ทำอะไรผิดและจะยอมรับการสอบสวน คะแนนนิยมตกลงเหลือ 5% ซึ่งในเวลาต่อมาตกต่ำสุดเหลือเพียง 4%
20 พ.ย. อัยการระบุประธานาธิบดีปักเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดในการกระทำของนางชเว และประกาศเป็นครั้งแรกว่าเธอเป็นผู้ต้องสงสัยคดีอาญา
6-7 ธ.ค. รัฐสภาซักถามผู้บริหารธุรกิจเรื่องเงินบริจาค และซักถามพยาน และผู้ต้องสงสัยที่เกี่ยวข้อง
9 ธ.ค.รัฐสภามีมติด้วยเสียง 234-56 ถอดถอนประธานาธิบดีพ้นตำแหน่ง ส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาไต่สวนเพื่อรับรองการถอดถอน
10 มี.ค. ศาลรัฐธรรมนูญมีคำตัดสินรับรองการถอดถอนประธานาธิบดีพ้นตำแหน่ง