จำนวนคณะผู้เลือกตั้งในแต่ละรัฐไม่เท่ากันตามสัดส่วนประชากร ทำให้ชัยชนะในแต่ละรัฐมีความสำคัญแตกต่างกัน นอกจากนี้การกำหนดระบบ "วินเนอร์ เทค ออล" ที่ให้ผู้สมัครที่มีคะแนนเสียงป๊อปปูลาร์โหวตเหนือกว่าคู่แข่งในรัฐใด ได้คะแนนเสียงคณะผู้เลือกตั้งในรัฐนั้นไปทั้งหมด ทำให้ผู้ชนะที่ได้จำนวนคณะผู้เลือกตั้งในรัฐใหญ่ๆ มากกว่ามีโอกาสคว้าชัยชนะมากกว่า
หากผู้สมัครพรรคใดสามารถครองเสียงคณะผู้เลือกตั้งเกินกว่า 270 เสียงหรือกึ่งหนึ่งของจำนวนคณะผู้เลือกตั้งทั้งหมด ก็จะได้รับเลือกเป็นผู้นำสหรัฐ แต่คณะผู้เลือกตั้งทั้ง 538 คนจะลงคะแนนเสียงเลือกประธานาธิบดีภายใน 30 วันหลังวันเลือกตั้งจากนั้นจึงจะประกาศชื่อผู้ชนะอย่างทางการ
ในปี 2543 เคยเกิดกรณีจอร์จ ดับเบิลยู บุช จากพรรครีพับลิกัน ชนะเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีคนใหม่ แม้พ่ายแพ้คะแนนป๊อบปูลาร์ โหวต ให้แก่ อัล กอร์ จากพรรคเดโมแครต
การเลือกตั้งประธานาธิบดีในปีนี้มีผู้สมัคร 4 คนแต่เป็นการแข่งขันสำคัญระหว่างฮิลลารี คลินตัน จากพรรคเดโมแครต และโดนัลด์ ทรัมป์ จากพรรครีพับลิกัน ซึ่งมีความแตกต่างกันอย่างมากและประเด็นอื้อฉาวของทั้งสองคนยังบดบังเรื่องนโยบายหาเสียง โดยฮิลลารีเจอการสอบสวนเรื่องใช้เซิรฟ์เวอร์อีเมล์ส่วนตัวทำงานสมัยเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ และทรัมป์ถูกแฉด้วยคลิปเสียงทรัมป์พูดจาดูถูกผู้หญิง รวมถึงผู้หญิงหลายคนออกมากล่าวหาว่าถูกทรัมป์ล่วงละเมิดทางเพศ
สำหรับนโยบายหาเสียงนั้น ทรัมป์ประกาศไม่ต้อนรับชาวมุสลิม และจะขับไล่ผู้อพยพเข้าเมืองผิดกฎหมาย รวมทั้งจะสร้างกำแพงตามแนวพรมแดนที่ติดกับเม็กซิโก, จะยกเลิกระบบประกันสุขภาพโอบามาแคร์ และจะเพิ่มการลดภาษีให้กับนักธุรกิจ รวมทั้งอาจเปิดการเจรจาใหม่ในส่วนข้อตกลงการค้าเสรี TPP ที่มองว่าทำให้สหรัฐเสียเปรียบ ตลอดจนจะดำเนินนโยบายต่างประเทศด้วยยุทธศาสตร์อเมริกาต้องมาก่อน และจะลดภาระการช่วยเหลือพันธมิตรต่างชาติ
แต่ฮิลลารีจะยังสานต่อนโยบายเรื่องผู้อพยพ และโอบามาแคร์ของประธานาธิบดีบารัก โอบามาต่อไป รวมทั้งจะเพิ่มการเก็บภาษีกับคนรวย และสนับสนุนสวัสดิการแก่ชนชั้นกลาง แต่ในส่วนเรื่องข้อตกลงการค้า เธอเปลี่ยนจุดยืนจากที่เคยสนับสนุนข้อตกลงการค้า TPP นอกจากนี้เธอมีนโยบายยืนยันเคียงข้างชาติพันธมิตรของสหรัฐ และไม่เปลี่ยนจุดยืนต่อจีนหรือรัสเซีย
และในช่วงโค้งสุดท้ายนี้ผลสำรวจหลายสำนักบ่งชี้ว่าฮิลลารีมีคะแนนนิยมนำทรัมป์ และมีโอกาสสูงถึง 90% ที่เธอจะชนะเลือกตั้ง