ราชนิกุลรังสิต ชนะคดีฟ้องเรียกมรดกหมื่นล้าน

ศาลฎีกาของอินเดีย พิพากษายืนตามคำตัดสินของศาลสูงเดลี ให้นายเทพราช ซิงห์ และนางสาวลลิตยา กุมารี สองพี่น้องทายาทของ ม.ร.ว. ปรียนันทนา รังสิต ราชนิกุลชาวไทยและมหาราชา จักกัต ซิงห์ แห่งนครจัยปูร์ในอินเดีย เป็นผู้รับมรดก ตามพินัยกรรมที่ คยาตรี เดวี มหารานีแห่งนครชัยปุระ ซึ่งเป็นย่าของทั้งสองระบุไว้ ซึ่งมีมูลค่าสูงนับหมื่นล้านบาท
ทั้งสองคน ใช้เวลาต่อสู้ในศาลมานานหลายปี หลังจากพระญาติของมหารานี คยาตรี เดวี ยื่นคัดค้านว่า มหารานีทำพินัยกรรมในช่วงเวลาที่ชราภาพและมีสติสัมปชัญญะไม่สมบูรณ์ ก่อนจะเสียชีวิตเมื่อเดือนกรกฎาคม ปี 2552 ขณะมีวัย 90 ปี สำหรับรายการทรัพย์สินมรดกที่ถูกระบุไว้ในพินัยกรรม คือ โรงแรมหรูที่เป็นส่วนหนึ่งของพระราชวังนครชัยปุระ ซึ่งมีมูลค่าระหว่าง 200-400 ล้านดอลล่าร์ หรือราว 12,000 ล้านบาท
นายเทพราช ซิงห์ ได้เปิดเผยต่อสำนักข่าว AFP ว่า ในช่วงที่มีการต่อสู้ในคดี เขาและน้องสาวไม่ได้ต้องการสิ่งใดมากไปกว่าส่วนแบ่งของบิดาในกิจการของครอบครัว ซึ่งท้ายที่สุดแล้ว เขาก็ใกล้จะได้ปฏิบัติหน้าที่ที่สมควรทำมานานต่อแผ่นดินบรรพบุรุษของเขาได้อย่างสำเร็จลุล่วง ซึ่งก่อนหน้านี้ นายเทพราชและนางสาวลลิตา อ้างว่า มีการปลอมพินัยกรรมของมหาราช จักกัต ซิงห์ แห่งชัยปุระ ผู้เป็นบิดา ที่ระบุให้ตัดสิทธิ์ทั้งคู่ออกจากกองมรดก
มหารานี คยาตรี เทวี เป็นหนึ่งในเชื้อพระวงศ์ของอดีตราชวงศ์อันยิ่งใหญ่ของอินเดีย และเป็นสตรีที่เลอโฉมที่สุดคนหนึ่ง โดยเคยติดอันดับ 1 ใน 10 สตรีที่สวยที่สุดในโลก และเป็นผู้นำแฟชั่น มหารานีถือกำเนิดในราชวงศ์อินเดีย และอภิเษกสมรสเป็นชายาองค์ที่ 3 ของเจ้าผู้ปกครองแคว้นชัยปุระ ซึ่งปัจจุบันกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของอินเดีย เธอสนับสนุนการศึกษาแก่สตรี และเป็นผู้ก่อตั้งโรงเรียนที่มีชื่อเสียงในชัยปุระ ปัจจุบันเป็นเมืองเอกของรัฐราชสถาน และถูกเรียกขานว่า "นครสีชมพู" นอกจากนี้ เธอยังแหวกประเพณีด้วยการลงสมัครรับเลือกตั้ง และได้เป็น ส.ส. เมื่อปี 2505 และได้รับเลือกตั้งให้กลับเข้าไปทำหน้าที่อีก 2 สมัย
ส่วนส่วน ม.ร.ว.ปรียนันทนา รังสิต ผู้เป็นมารดาของนายเทพราชและนางสาวลลิตา เป็นธิดาคนเล็กของ ม.จ.ปิยะรังสิต รังสิต และพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวิภาวดีรังสิต สืบสายพระโลหิตในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4