อียูตกลงลดก๊าสเรือนกระจก 40% ในปี 73

ข้อตกลงดังกล่าวบรรลุร่วมกันเพื่อร่วมกันรับมือกับภาวะโลกร้อนที่กำลังเกิดขึ้นในปัจจุบัน รวมถึงการสร้างแบบอย่างให้กับประเทศอื่น ๆ ในโลก ก่อนที่จะมีการหารือเรื่องโลกร้อนครั้งใหญ่ทั่วโลกในปีหน้า โดยทั้ง 28 ชาติสมาชิกสหภาพยุโรป หรือ อียู ได้หารือในกรุงบรัสเซล ของเบลเยี่ยม และได้ข้อสรุปร่วมกันหลังล่วงเข้าสู่วันศุกร์เพียงแค่ไม่กี่ชั่วโมง ภายหลังการหารืออย่างยาวนาน เพื่อสร้างความเป็นมิตรกับสภาพแวดล้อม , การใช้พลังงานทดแทน อย่างน้อย 27 เปอร์เซนต์ ของความต้องการใช้ของกลุ่ม รวมถึง การเพิ่มประสิทธิภาพทางพลังงานให้ได้อีกอย่างน้อย 27 เปอร์เซนต์ ภายใน 16 ปีข้างหน้าด้วย 
เฮอร์มาน แวน รอมปุย ประธานคณะกรรมการอียู เรียกข้อตกลงที่ว่านี้ว่าเป็น "ความทะเยอทะยาน และความสมดุล" 
แม้จะมีข้อตกลงร่วมกันออกมาแล้ว แต่ก่อนหน้านี้ เสียงของชาติสมาชิกอียูก็มีความแตกต่างกันพอสมควร อย่างประเทศโปแลน ที่มีการใช้พลังงานถ่านหินในปริมาณที่สูง ก็เกรงว่า การตัดลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน จะส่งผลต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ ซึ่งประเด็นดังกล่าวก็ได้รับเสียงสนับสนุนจากสมาชิกหลายชาติ 
แต่ผู้นำเยอรมนี นางแองเกล่า แมร์เคิล ก็ระบุหลังข้อตกลงว่า พวกเขาได้ตัดสินใจที่จะก้าวเดินไปข้างหน้าต่อไป 
ทั้งนี้ เป้าหมายก่อนหน้านี้ของอียู คือการตัดลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลง 20% ภายในปี 2563 เมื่อเทียบกับระดับเมื่อปี 2533
ด้านนักเคลื่อนไหวสิ่งแวดล้อม พร้อมกันแต่งชุดดำ ที่เปรอะเปื้อนคราบน้ำมัน ไปรวมตัวกันที่ประชุมในกรุงบรัสเซล เรียกร้องให้ผู้นำอียู ปฏิเสธการดำเนินงานอุตสาหกรรมเชื้อเพลิงจากซากดึกดำบรรพ์ หรือ fossil พร้อมทำข้อตกลงด้านสภาวะแวดล้อมและพลังงานของอียู ปี 2563 ที่จะให้ยุโรปใช้พลังงานที่สะอาดในอนาคต  // ซึ่งจากข้อมูลของกลุ่ม NGO พบว่า บริษัทที่ดำเนินการใช้อุตสาหกรรมเชื้อเพลงจากฟอซซิล ได้จ่ายเงินใต้โต๊ะมากกว่า 44 ล้านยูโร หรือราว 180 ล้านบาท เพื่อล็อบบี้ให้กลุ่มอียูหยุดภารกิจการลดภาวะโลกร้อนเหล่านี้