(เล่าให้ฟังหน่อยว่านั่งอะไรยังไง) ก็พอผมเล่นรอบแรกของวันที่ 2 เสร็จ ก็รีบขึ้นรถตู้ไป โดยมีพี่ๆ ตำรวจมานำขบวนให้ แล้วไปขึ้นเครื่องที่สนามบินดอนเมือง เพื่อไปขึ้นเครื่องบินเจ็ทที่นั่น แล้วใช้เวลาบินประมาณ 35 นาทีก็ถึงขอนแก่น แล้วเขาก็รอรับกลับ ก็กลับแบบเดิมมาที่ไบเทค บางนา เพื่อแสดงรอบที่ 2 บางคนถามว่าทำงานโหดมากเลย ขยันมากเลย ไม่ได้ขยันเป็นหนี้นอกระบบอยู่ (หัวเราะ) ไม่ได้ว่าเราอัพตัวเองมาเป็นแบบศิลปินต่างประเทศที่เวลาไปทำงานต้องมีเครื่องบินเจ็ทส่วนตัว แต่เราอยากให้มาทันในการร่วมคอนเสิร์ตนี้มากกว่า เพราะว่ามีแฟนๆ มารอดูเยอะ มาดูทุกคนแหละ มาดูหน้ากากซูโม่ รอดูหน้ากากหอยนางรม รอดูทุกหน้ากากเลย (คิดว่ามันเป็นทางออกที่จำเป็นขนาดนั้นไหม) ใช่ มันเป็นทางออกที่จำเป็นที่สุดแล้ว เป็นทางเลือกที่ผู้ใหญ่เลือกมาแล้ว และคิดว่าโอเค ตัวเราก็ไม่ได้เรียกร้องว่าเราต้องใช้อะไร หรือเดินทางด้วยอะไร เพราะว่าถ้าเราสามารถร่วมงานกันได้มันก็จะดีมาก ไม่เสียงานใครเลย เรายอมเหนื่อย เรายอมรีบวิ่งแบบนี้ดีกว่า" นักร้องหนุ่มบอก
รู้สึกว่ามันเวอร์ไปไหมกับการวิ่งงานด้วยเครื่องบินเจ็ทส่วนตัว นักร้องหนุ่มตอบอย่างอารมณ์ดีว่า "สำหรับผมก็ว่าดูเวอร์ (หัวเราะ) แต่มันก็สะดวกในการจัดสรรงานให้ลงตัวได้ดี แต่ถามว่าเหนื่อยไหม เหนื่อย แต่ก็รอดตัวมาได้ (มันคุ้มทุนกับคอนเสิร์ตใช่ไหม) นั่นนะซิ แต่ถ้าเรามองกันในเรื่องของการมอบความสุขให้คน เราก็ต้องเลือกสำหรับคนหมู่มาก เพราะถ้าเกิดไม่มีคนใดคนหนึ่งมันก็คงเสียดายแหละ ตอนที่เขาบอกว่าจะเหมาเครื่องบินเจ็ทให้ ตอนนั้นความรู้สึกแรกคือ ผมจะเล่นฟรีคอนเสิร์ตหรือเปล่า ใช้ตังค์ผมหรือเปล่า (หัวเราะ) ถามว่าเป็นการสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับศิลปินถ้ามีงานชน ผมว่าจริงๆ มันต้องแล้วแต่ความสะดวกด้วย เพราะว่าถ้าคุยกันแล้วสามารถใช้เครื่องบินเจ็ทได้ แล้วมันคุ้มค่าก็คงโอเค" ทอมกล่าวปิดท้าย