ถามต่อกับคำว่า "คลื่นหายไปอีกแล้ว" ส่งผลกระทบกับความน่าเชื่อถือของเอไทม์หรือไม่
"ต้องบอกตรงนี้ก่อนว่า เราเป็นคนที่เลือกจะคืนคลื่นเองนะ ไม่ได้ถูกเรียกคืนนะ ต้องบอกก่อนว่าชีวิตมันเปลี่ยนไปแล้ว สมัยก่อนความตื่นเต้นของวงการวิทยุคือ การวิ่งไปประมูลคลื่นแล้วแย่งกัน แต่สมัยนี้ผู้ผลิตไม่เยอะ ไม่ตื่นเต้นแล้ว เพราะไม่มีใครมาแย่งชิงกันเหมือนสมัยก่อน แต่ ณ ตอนนี้สิ่งที่เอไทม์เป็นในตอนนี้ มันเป็นเรื่องจากการที่เรารู้สึกว่ามันต้องไปสู่โลกยุคใหม่ ไม่ได้เกี่ยวกับการลดคลื่น คืนคลื่น เพราะมันมีคลื่นเท่าเดิม แต่แค่ว่ามันถึงเวลาแล้ว อย่างที่บอกว่าเราทำงานออนไลน์มาตั้งแต่ปี พ.ศ.2540 ก่อนคนอื่นมาตั้งนานแล้ว โดยความเข้าใจ ว่ามันต้องไปสู่โลกยุคนี้แน่นอน แต่ว่ามันแค่บ่มเพาะแล้วก็รอเวลา จริงๆ แล้วในส่วนของคลื่นมันหมดสัญญาตอนสิ้นปี ถ้าเราต่อสัญญา ต้องต่อไปอีก 2 ปี คือถ้าเราจะทำอะไร ต้องรอไปอีก 2 ปี มันช้าไป จึงตัดสินใจคงต้องเป็นช่วงเวลานี้ที่ต้องคืนคลื่นไป ส่วนขั้นตอนที่ว่าชิลเปลี่ยนมาเป็น 104.5 เอฟเอ็มไม่เท่าไหร่ ก็ย้ายอีเอฟเอ็มมาแทน แล้วเอาชิลไปเป็นออนไลน์ คือต้องบอกก่อนว่า จริงๆ เรามีคุยไว้แล้ว แต่เรื่องของการพูดคุยกันกับทางเจ้าของสัมปทานที่ยืดเวลา 94 เอฟเอ็มให้เราต่อจากสัญญามา ทำให้มันเกิดขั้นตอนหลายสเต๊ป ในตอนนั้นเราตัดสินใจแต่แรกแล้วว่าเราจะคืน คลื่น 89 และ 94 เอฟเอ็ม แต่ด้วยทุกอย่างมันไม่พอดีกัน มันเลยต้องมีช่วงเวลาของมัน" ผู้บริหารชื่อดังเผย
"ฉอด" สายทิพย์ถามว่าในฐานะของคนทำคลื่นวิทยุมา 25 ปี คิดว่าคลื่นวิทยุจะจบลงตอนนี้ไหม
"ถ้าถามส่วนตัว เชื่อว่า 3 ปี 5 ปี คลื่นวิทยุก็ยังอยู่ แต่ในส่วนของออนไลน์เราแค่ให้ความสะดวกกับคนฟังว่าเขาต้องการฟังแบบไหน สนุกกับวิถีแบบไหนมากกว่า ไม่ได้หมายความว่าคลื่นวิทยุมันจะหายไป หรือเลิกไปเลย ในวันนี้เรายังมีการพูดกันถึงเรื่องวิทยุกันอยู่ มันยังไม่ถึงขนาดที่ว่า ในวันนี้เราไม่ต้องมีคลื่นวิทยุก็ได้ เพราะยังมีคนอีกจำนวนหนึ่ง ซึ่งเป็นจำนวนมากที่ยังบริโภคคลื่นวิทยุอยู่ ด้วยวิถีชีวิตของแต่ละคน" ฉอดกล่าว