svasdssvasds
เนชั่นทีวี

เศรษฐกิจ

อนุมัติยุทธศาสตร์ 4 พี ขับเคลื่อนธุรกิจSME

29 สิงหาคม 2557
เกาะติดข่าวสาร >> Nation Story
logoline

29 ส.ค.57 - คณะกรรมการบอร์ดอนุมัติยุทธศาสตร์ 4 พี ขับเคลื่อนธุรกิจSME ตั้งวงเงิน 726.7 ล้านบาท มุ่งบูรณาการภาครัฐ พัฒนา SME ตามวงจรธุรกิจ สร้างมูลค่าเพิ่มให้สินค้า บริหารและเชื่อมโยงเครือข่ายภาครัฐและเอกชนทั้งในและต่างประเทศหวังเพิ่มสัดส่วน ดันให้เป็นวาระแห่งชาติ ตั้งเป้า จีดีพี ร้อยละ 38 พร้อมจดทะเบียนนิติบุคคลเพิ่ม 50,000 รายในปี 2558

เมื่อเวลา 13.00 น. ที่กองบัญชาการกองทัพบก ดร.วิมลการนต์ โกสุมาศ รองผู้อำนวยการรักษาการแทน ผู้อำนวยการสำนังงานส่งเสริมรัฐวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) แถลงการภายหลังการประชุมว่า ในที่ประชุมมีมติเห็นชอบยุทธศาสตร์ และแผนการดำเนินการส่งเสริม SME ระยะเร่งด่วนปี 2558 ตามที่ สสว. ประกอบด้วย 4 ยุทธศาสตร์ 13 โครงการ เพื่อมุ่งเน้นงานเพื่อสามารถเริ่มดำเนินการได้ทันที และให้ความสำคัญกับการปรับปรุงการบริหารจัดการส่งเสริม SME ให้มีประสิทธิภาพ เอกภาพ ดำเนินงานสอดคล้องในทิศทางเดียวกัน และมีการสร้างกลไกหรือโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นต่อการสนับสนุนให้ SMEสามารถเริ่มต้นธุรกิจและเติบโตได้ตามวงจรธุรกิจอย่างมีประสิทธิภาพ โดยยุทธศาสตร์ดังกล่าวเรียกร้องยุทธศาสตร์ 4 P คือ ยุทธศาสตร์ที่ 1.การบูรณการการบริหารจัดการภาครัฐเพื่อส่งเสริม SME ให้มีประสิทธิภาพ ประกอบด้วยการจัดทำแผนการส่งเสริม SME และงบประมาณแบบบูรณาการ เพื่อจัดทำตัวชี้วัดร่วมระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และให้สำนักงบประมาณใช้แผนการส่งเสริม SME เป็นหลักในการพิจารณาจัดสรรงบประมาณเพื่อลดความซับซ้อน และเพื่อประสิทธิภาพในการใช้งบประมาณของภาครัฐ และการจัดทำฐานข้อมูล SME แห่งชาติ โดยบูรณาการและเชื่อมโยงข้อมูลกับหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อให้นำไปใช้ประโยชน์ในการวางแผนติดตามประเมินผลการส่งเสริม SME การขึ้นทะเบียนผู้ประกอบการ SME โดยการออกแบบการขึ้นทะเบียน การกำหนดสิทธิ ประโยชน์ให้กับผู้ประกอบการที่ขึ้นทะเบียน เพื่อที่จะสะท้อนสถานการณ์ของ SME ได้ชัดเจนและทันเหตุการณ์ พร้อมทั้งสนับสนุนให้SME เข้าถึงตลาดการจัดซื้อจ้ดจ้างของภาครัฐ ซึ่งจากเดิมไม่ถึง 40 % แต่จะขยับสัดส่วนให้อยู่ที่ 45 % เพื่อสร้างโอกาสทางการตลาด และการลดอุปสรรคในการดำเนินธุรกิจของ SMEดร.วิมลการนต์ กล่าวอีกว่า ยุทธศาสตร์ที่ 2 คือการส่งเสริม และการพัฒนา SME โดยมุ่งเน้นการพัฒนาตามวงจรธุรกิจ ประกอบด้วยการจัดตั้งศูนย์ให้บริการ SME ครบวงจรใน 5 ภูมิภาคทั่วประเทศ ในรูปแบบของ ONE STOP SERVICE CENTER ที่สามารถให้บริการข้อมูลในรอบด้าน รวมถึงการฝึกอบรมให้ตรงกับความต้องการของ SME พัฒนาความรู้ ทักษะ และอำนวยความสะดวก แก่ SME ให้เข้าถึงข้อมูล ความรู้ การจัดตั้งศูนย์เรียนรู้ ธุรกิจ SMEออนไลน์ โดยการจัดทำหลักสูตรให้ความรู้ แก่ SME ตามระดับวงจรธุรกิจ และการจัดทำระบบการเผยแพร่การเรียนการสอนผ่านระบบอินเตอร์เน็ต พร้อมทั้งสนับสนุนและพัฒนา SME ที่มีศักยภาพสูง โดยคัดเลือก SME ที่มีศักยภาพสูงได้รับการคัดเลือกและส่งเสริมให้เติบโตแบบก้าวกระโดดผ่านการให้ความช่วยเหลือแบบ FAST TRACK เพื่อสร้างผลกระทบทางเศรษฐกิจ สามารถผลักดันสินค้า ออกสู่สากล และเป็นผู้สร้างนวัตกรรมใหม่ให้กับประเทศ ยุทธศาสตร์ที่ 3 สร้างมูลค่าเพิ่มให้สินค้าและบริการของSME ประกอบด้วย โครงการ 1 มหาลัย / 1 อาชีวะ : 100 SME โดยการสนับสนุนให้สถาบันการศึกษาเป็นกลไกสำคัญที่ให้ความช่วยเหลือทางด้านเทคนิคแก่ SME เชื่อมโยงงานวิจัย และการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีสู่เชิงพาณิชย์ เพื่อเพิ่มมูลค่าให้สินค้าและบริการ และพัฒนาการไปสู่การสร้างเครือข่ายกับSME การจัดทำทำเนียบผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมด้วยการรวบรวม และจัดทำระบบสืบค้น รายชื่อผู้เชี่ยวชาญในด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี การวิจัยและพัฒนา เพื่อเป็นฐานให้ข้อมูล SME สามารถใช้บริการจากผู้เชี่ยวชาญในการพัฒนาเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าและบริการดร.วิมลกานต์ กล่าวอีกว่า สำหรับ ยุทธศาสตร์ที่ 4 เชื่อมโยงเครือข่ายภาครัฐและเอกชนทั้งในและต่างประเทศ เพื่อส่งเสริมการพัฒนา SMEประกอบด้วย การส่งเสริม SME ให้เป็นสมาชิกองค์การเอกชน โดยการออกกฎหมายการส่งเสริมให้ SMEเข้าร่วมเป็นสมาชิกองค์กรภาคเอกชนเพื่อผู้ประกอบการให้เกิดการรวมกลุ่มและสร้างพลังการต่อรอง ขณะเดียวกันจะช่วยภาครัฐสามารถติดตามสถานการณ์ SME ได้ทันท่วงที การสนับสนุนเครือข่าย SME ใน 18 กลุ่มจังหวัด โดยการสนับสนุนกิจกรรมพัฒนาความสามารถในการแข่งขันของเครือข่าย SME ในระดับพื้นที่ โดยมีผู้เชี่ยวชาญให้ความช่วยเหลือ การสร้างเครือข่ายธุรกิจกับ SME ในอาเซียน โดยการจัดงาน ASEN SME EXPO 2015 เพื่อให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลาง การเลือกซื้อสินค้าที่ผลิตในอาเซียนจากผู้ซื้อทั่วโลก และส่งเสริมให้ SME ไทยพัฒนาสู่การเป็นผู้จัดการห่วงโซอุปทานในระดับภูมิภาคเพื่อก้าวสู่ยอดปิรมิด การผลิต ทั้งนี้การดำเนินงานภายใต้ยุทธศาสตร์ดังกล่าว ทางคณะกรรมการเห็นชอบให้ สสว.ใช้งบประมาณ จำนวน 726.7 ล้านบาท จากกองทุนส่งเสริม วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม เพื่อให้การดำเนินงานบรรลุเป้าหมายในการตอบสนองนโยบายของ คสช. ที่มุ่งให้ความสำคัญ และผลักดันให้การส่งเสริมSME เป็นวาระแห่งชาติโดยการสร้างให้เกิดการบูรณการ งานส่งเสริม SMEของประเทศ และพัฒนา SME ให้เติบโตอย่างแข็งแกร่ง คาดว่าจะสามารถเพิ่มสัดส่วนมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมของ SME (จีดีพี SME) เป็นร้อยละ 38 และสนับสนุนให้มีการจดทะเบียนนิติบุคคล เพิ่มขึ้นจำนวน 50,000 ในปี 2558 นอกจากนี้ยังได้เห็นชอบการกำหนดประเภทของSME ที่ควรได้รับการส่งเสริมในช่วงครึ่งหลังของแผนการส่งเสริม SMEฉบับที่ 3 ช่วงระหว่างปี 2558-2559 ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในการกำหนดมาตรการส่งเสริมช่วยเหลือเอสเอ็มอีเฉพาะกลุ่มให้สอดคล้องกับศักยภาพสภาพปัญหาและความต้องการเพื่อให้เอสเอ็มอีเป็นรากฐานที่แข็งแกร่งให้กับระบบเศรษฐกิจไทย โดยพิจารณาจากสาขาธุรกิจที่สร้างประโยชน์และรายได้ให้ประเทศเป็นจำนวนมาก มีการใช้วัตถุดิบในประเทศ มีศักยภาพในการแข่งขันและมีโอกาสในอนาคต ตอบสนองนโยบายสำคัญของรัฐ รวมทั้งคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม ศิลปวัฒนธรรม ประกอบด้วย 2 กลุ่มธุรกิจดร.วิมลกานต์ กล่าวว่า 1.ธุรกิจเอสเอ็มอี ที่มีการเติบโตสูงของประเทศไทย ซึ่งพิจารณาจากข้อมูลจีดีพี จากมูลค่าจีดีพีของเอสเอ็มอีการจ้างงาน รายได้และผลประกอบการ รวมทั้งนโยบายของภาครัฐฯลฯ มีจำนวน 11 กลุ่ม ได้แก่กลุ่มธุรกิจก่อสร้าง กลุ่มธุรกิจชิ้นส่วนอิเลคทรอนิก กลุ่มธุรกิจย่านยนต์และชิ้นส่วน กลุ่มธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม กลุ่มธุรกิจการบริการด้านการศึกษา กลุ่มธุรกิจด้านพลังงาน กลุ่มธุรกิจภาคเกษตรกรรม กลุ่มธุรกิจขนส่งและโลจิสติก กลุ่มธุรกิจท่องเที่ยว กลุ่มธุรกิจการบริการด้านสุขภาพและกลุ่มธุรกิจด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ และการสื่อสาร และอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ 2.กลุ่มธุรกิจเอสเอ็มอีสาขาที่มีความสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจไทย ซึ่งพิจารณาจากข้อมูลค่าการส่งออก-นำเข้า จำนวนเอสเอ็มอีและจำนวนแรงงานมีจำนวน 7 กลุ่มได้แก่ กลุ่มอุตสาหกรรมเครื่องจักรกล กลุ่มอุตสาหกรรมอาหาร กลุ่มอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์ยาง กลุ่มอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ และผลิตภัณฑ์พลาสติก กลุ่มอุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม กลุ่มอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับ และกลุ่มธุรกิจค้าปลีกและค้าส่ง

logoline