สนค. ได้ทำการศึกษาวิเคราะห์เชิงปริมาณเพื่อดูผลกระทบต่อไทยพบว่าสินค้าที่ไทยมีโอกาสส่งออกไปจีนเพิ่มขึ้นเพื่อทดแทนสินค้าของสหรัฐฯ เช่น กากเหลือจากการผลิตสตาร์ชข้าว ผลไม้สดและแห้ง โดยเฉพาะพวกส้ม และพบว่าสินค้ากากเหลือจากการผลิตสตาร์ชเศษที่ได้จากการต้มกลั่น (พิกัดศุลกากร 230330) เป็นสินค้าที่มีโอกาสทำตลาดมากที่สุดในกลุ่มนี้เนื่องจากเป็นสินค้าที่จีนนำเข้าจากสหรัฐฯ เกือบทั้งหมด โดยในปีที่ผ่านมาจีนนำเข้าเป็นมูลค่า 66 ล้านเหรียญสหรัฐ ขณะที่ไทยมีการส่งออกประมาณ 3ล้านเหรียญสหรัฐ โดยไทยส่งออกไปลาวเกือบทั้งหมด ดังนั้น ไทยน่าจะสามารถกระจายสินค้าไปตลาดจีนมากขึ้นได้
นอกจากนี้ การที่จีนขึ้นภาษีผลไม้ที่นำเข้าจากสหรัฐฯ(ผลไม้ที่จีนมีการนำเข้าจากสหรัฐฯ มาก เช่น เชอรี่ ส้ม องุ่น แอปเปิ้ล และพลัม)ทำให้ผลไม้จากสหรัฐฯ มีราคาสูงขึ้น ดังนั้นผู้บริโภคจีนอาจหันมาเลือกบริโภคผลไม้ชนิดอื่นที่มีราคาถูกกว่าแทนจึงเป็นโอกาสของผลไม้ไทยที่จะส่งออกไปจีนเพิ่มขึ้น เช่น มังคุด มะม่วง และสับปะรดเป็นต้น
นางสาวพิมพ์ชนกกล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับสินค้าที่มีโอกาสส่งออกไปอียูเพิ่มขึ้นเช่น ข้าวโพดหวาน เนื่องจากข้าวโพดหวานเป็นสินค้าที่อียูขึ้นภาษีกับสหรัฐฯด้วย อย่างไรก็ตาม จากข้อมูลปี 2560 อียูนำเข้าข้าวโพดหวาน 148 ล้านเหรียญสหรัฐ เป็นการนำเข้าจากประเทศในกลุ่มอียูด้วยกันเอง 136ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นสัดส่วนถึง ร้อยละ 95 โดยนำเข้าจากสหรัฐฯและไทยเพียง 234,000 และ 84,000 เหรียญสหรัฐตามลำดับ ขณะที่ไทยมีการส่งออกไปโลกเป็นมูลค่าประมาณ 25 ล้านเหรียญสหรัฐไทยจึงมีศักยภาพในการส่งออกไปอียูได้มากขึ้น แต่ทั้งนี้ ไทยต้องแข่งขันกับสินค้าจากประเทศในกลุ่มอียูด้วย
สำหรับสินค้าจากสหรัฐฯ ที่อาจไหลเข้าไทย มีสินค้าที่ต้องเฝ้าระวังได้แก่ ถั่วเหลือง ข้าวสาลีและเมสลิน แอปเปิ้ล และลูกแพร์ โดยเฉพาะถั่วเหลือง ซึ่งในปีที่ผ่านมาจีนนำเข้าถั่วเหลืองจากสหรัฐฯ เป็นมูลค่าถึง 14,000 ล้านเหรียญสหรัฐ การขึ้นภาษีของจีนอาจทำให้สหรัฐฯต้องกระจายสินค้าถั่วเหลืองไปยังประเทศต่างๆ มากขึ้น ดังนั้น เมื่อจีนลดการนำเข้าจากสหรัฐฯก็คาดว่าจีนจะนำเข้าจากบราซิลเพิ่มขึ้น (ปี 2560 จีนนำเข้าถั่วเหลือง 95 ล้านตันโดยเป็นการนำเข้าจากบราซิล และสหรัฐฯ ในปริมาณ 51 และ 33 ล้านตัน ตามลำดับ) ซึ่งอาจทำให้บราซิลที่เป็นแหล่งนำเข้าถั่วเหลืองอันดับ1 ของไทย ส่งออกมาไทยได้น้อยลง (ปี 2560 ไทยนำเข้าถั่วเหลือง 2.7 ล้านตัน โดยเป็นการนำเข้าจากบราซิล1.7 ล้านตัน และสหรัฐฯ 9.6 แสนตัน) จึงเป็นโอกาสของสหรัฐฯที่จะเพิ่มส่วนแบ่งตลาดในไทย
นอกจากนี้ จีนมีการนำเข้าข้าวสาลีและเมสลินจากสหรัฐฯเป็นมูลค่าประมาณ 390 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งในปีที่ผ่านมา จีนนำเข้าจากโลกมากกว่า 4ล้านตัน (นำเข้าจากออสเตรเลีย สหรัฐฯ และแคนาดา ในปริมาณ 1.9 1.6 และ 0.5 ล้านตัน ตามลำดับ) ดังนั้น หากสหรัฐฯ ส่งออกจีนได้น้อยลงสหรัฐฯ ก็จะผลักดันกระจายตลาดส่งออกไปยังประเทศต่างๆ เพิ่มขึ้น ซึ่ง สนค. เห็นว่าสหรัฐฯมีการกระจายตลาดส่งออกที่ดีอยู่แล้ว โดยตลาดส่งออกสินค้าข้าวสาลีและเมสลินที่สำคัญของสหรัฐฯได้แก่ เม็กซิโก ญี่ปุ่น ฟิลิปปินส์ ไนจีเรีย และจีน โดย 5 ตลาดหลักรวมกัน มีสัดส่วนประมาณร้อยละ40 ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมดของสหรัฐฯ ขณะที่ไทยเป็นตลาดส่งออกอันดับ 9 ของสหรัฐฯจึงมีแนวโน้มว่าสหรัฐฯ น่าจะกระจายสินค้าไปยังตลาดหลักก่อน
ทั้งนี้ ในภาพรวม สนค.คาดการณ์ว่าสงครามการค้าจะทำให้เกิดการปรับรูปแบบโครงสร้างและความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างประเทศหรือ "Trade Realignment" เกิดการแสวงหาพันธมิตรทางการค้าใหม่ๆเพื่อกระจายความเสี่ยงและรักษาเสถียรภาพทางการค้าในระยะยาว อย่างไรก็ดี กระทรวงพาณิชย์ไม่ได้นิ่งนอนใจ โดยมีการเฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดเพื่อป้องกันไม่ให้ส่งผลกระทบต่อผู้ผลิตและเกษตรกรภายในประเทศ