svasdssvasds
เนชั่นทีวี

เศรษฐกิจ

มอร์แกน สแตนเลย์ คาดหุ้นสหรัฐกำลังเผชิญความเสี่ยงครั้งใหญ่

17 ตุลาคม 2560
เกาะติดข่าวสาร >> Nation Story
logoline

มอร์แกน สแตนเลย์ วาณิชธนกิจชื่อดังสหรัฐ คาดว่าตลาดหุ้นสหรัฐกำลังเผชิญความเสี่ยงครั้งใหญ่ เนื่องจากราคาหุ้นที่เสี่ยงสูงเกินไปถึง 15-20% จะส่งผลให้เป้าหมายคาดการณ์ดัชนี S&P500 ไว้ที่ 2,50-2,575 อาจปรับตัวถอยกลับไปในช่วงเดือนสิงหาคมปีนี้ แต่การปรับฐานที่เกิดขึ้นจะอยู่ในระดับที่ไม่น่าจะเกินกว่า 5%

แต่สำหรับ Richard Sylla นักวิชาการจาก The Stern School of Business ในซิดนีย์ กลับเชื่อว่าความเป็นไปได้ที่จะเห็นวิกฤติการเงินเกิดขึ้นซ้ำอีกครั้งมีถึง 70-80% เนื่องจากเกิดปัญหาส่วนต่างขนาดใหญ่มากกับราคาหุ้นสหรัฐที่พุ่งขึ้นอย่างร้อนแรงเมื่อเทียบกับเงินเฟ้อ ซึ่งล้วนมาจากการเข้ามาแทรกแซงของเฟดที่พยายามกดดอกเบี้ยให้อยู่ต่ำกว่าความเป็นจริงนั้นเอง
อย่างไรก็ตาม เฟดจะยังคงปรับดอกเบี้ยขี้นในอีก 2-3 ปีข้างหน้า โดยเฉพาะการปรับขึ้นดอกเบีเยระยะสั้น หรือ Fed Fund Rate อีก 3-4 ครั้งในปีหน้า หลังจากประเมินว่าอัตราเงินเฟ้อจะเข้าสู่ระดับที่เป็นเป้าหมายในปี 2018

1. มอร์แกน สแตนเลย์ วาณิชธนกิจชื่อดังสหรัฐ คาดว่าตลาดหุ้นสหรัฐกำลังเผชิญความเสี่ยงครั้งใหญ่ เนื่องจากราคาหุ้นที่สูงเกินไปถึง 15-20% จะส่งผลให้เป้าหมายคาดการณ์ดัชนี S&P500 ไว้ที่ 2,50-2,575 อาจปรับตัวถอยกลับไปในช่วงเดือนสิงหาคมปีนี้
ท่ามกลางการทำนิวไฮอย่างต่อเนื่องของดัชนีหุ้นสำคัญทั้ง 3 ตลาดของสหรัฐ นำโดยดาวโจนส์พุ่งเฉียด 23,000 ปิดที่ 22,956 เพิ่มขึ้น 85.24 จุด หรือ 0.37% เช่นเดียวกับดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,557 เพิ่มขึ้น 0.18% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 6,624 เพิ่มขึ้น 0.28% แต่นักลงทุนยังคงจับตาวุฒิสภาสหรัฐซึ่งเตรียมโหวตร่างงบประมาณประจำปี 2018 ในสัปดาห์นี้ เพื่อนำไปสู่การพิจารณากฎหมายปฏิรูปภาษีฉบับใหม่ในปีนี้


2. ความเสี่ยงต่อการปรับตัวลดลงของตลาดหุ้นสหรัฐจากมุมมองของมอร์แกน สแตนเลย์ คือ 1. นโยบายการปรับลดงบดุลของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) 2. แผนการปฏิรูปภาษีของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ยังไม่มีสัญญาณข้อผูกพันจากกับสภาคองเกรส 3. การกลับมาแข็งค่าของเงินดอลลาร์ 4. การคาดหวังสุดโต่งกับตัวเลขทางเศรษฐกิจที่ดีขี้นเกินความเป็นจริง
ขณะที่วัฏจักรราคาหุ้นของดัชนี SP500 ที่ปรับตัวขึ้นมาต่อเนื่องนับตั้งแต่ปี 2009 จะส่งผลให้ผลตอบแทนการลงทุนลดลงในระยะ 10 ปีข้างหน้า ทั้งนี้ มอร์แกน สแตนเลย์ มองว่าถึงแม้ราคาหุ้นสหรัฐจะมีความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น แต่การปรับฐาน (correction) ที่เกิดขึ้นจะอยู่ในระดับที่ไม่น่าจะเกินกว่า 5% จากระดับดัชนีเป้าหมาย 2,575 โดยยังมองว่าในปีหน้า ดัชนี S&P500 จัวสใสนถปรับตัวขึ้นไปที่ 2,700


3. เมื่อเจเน็ต เยลเลน ประธานเฟด เคยกล่าวไว้เมื่อเดือนมิถุนายนปีนี้ว่า ในชั่วชีวิตของเธอจะไม่เห็นวิดฤติการเงินในสหรัฐเกิดขึ้นอีก หลังจากที่ระบบการธนาคารของสหรัฐได้ผ่านพ้นมาได้จากวิกฤติการเงินที่เกิดขึ้นครั้งล่าสุดเมื่อปี 2008 นั้น
แต่สำหรับ Richard Sylla นักวิชาการจาก The Stern School of Business ในซิดนีย์ กลับเชื่อว่าความเป็นไปได้ที่จะเห็นวิกฤติการเงินเกิดขึ้นซ้ำอีกครั้งมีถึง 70-80%
สาเหตุเป็นเพราะเฟดพยายามที่จะกดดอกเบี้ยให้ต่ำเข้าไว้ในช่วงที่ผ่านมา ทำให้เกิดการบิดเบีอนต่อปัญหาเงินเฟ้อที่มองเห็นในระดับต่ำเพียง 1% เศษในขณะนี้ ทั้งที่เงินเฟ้อควรจะพุ่งขึ้นอย่างรุนแรงมากกว่านี้ เนื่องจากราคาสินทรัพย์ต่างๆ ที่ปรับตัวสูงขึ้นร้อนแรงนับจากปี 2008 เป็นต้นมานั้น จนเกิดปัญหาส่วนต่างขนาดใหญ่มากเมื่อเทียบกับเงินเฟ้อ ซึ่งล้วนมาจากการเข้ามาแทรกแซงของเฟดนั้นเอง


4. Richard Sylla ยังชี้ว่า ถ้าปล่อยให้อัตราดอกเบี้ยเคลื่อนไหวอย่างเสรีในตลาดการเงินแล้ว อัตราดอกเบี้ยสำหรับบอนด์รัฐบาลสหรัฐระยะยาว 30 ปีควรจะขี้นสู่ระดับ 8% แต่ขณะนี้กลับมีอัตราดอกเบี้ยอยู่ที่ 2,9% เท่านั้น แสดงว่าดอกเบี้ยถูกกดไว้ถึง 5.0% ในที่สุดก็ส่งผลให้ผู้ออมเงินกลายเป็นผู้กู้ยืมเงิน
ปัญหาใหญ่ที่ตามมาก็คือ หนี้ที่อยู่นอกระบบการเงิน () ในสหรัฐที่มีจำนวนสูงถึง 47.9 ล้านล้านดอลลาร์เมื่อสิ้นสุดไตรมาส 2 นั้น มาจากการเปลี่ยนผ่านของการออมเงินมาเป็นการกู้เงินถึง 2,4 ล้านล้านดอลลาร์ในแต่ละปี


5. อย่างไรก็ตาม เฟดจะยังคงปรับดอกเบี้ยขี้นในอีก 2-3 ปีข้างหน้า โดยเฉพาะการปรับขึ้นดอกเบีเยระยะสั้น หรือ Fed Fund Rate อีก 3-4 ครั้งในปีหน้า หลังจากประเมินว่าอัตราเงินเฟ้อจะเข้าสู่ระดับที่เป็นเป้าหมายในปี 2018
ในขณะเดียวกันแนวคิดของกลุ่มที่เป็นสายเหยี่ยวอ่อนๆ (soft-hawk) ในเฟดเชืี่อว่า เฟดอาจจะต้องดำเนินนโยบายดอกเบี้ยที่เข้มข้นมากขึ้น (overshoot) ในปีหน้านี้ ถ้าหากว่า อัตราการว่างงานลดลงมาที่ระดับ 4% ในขณะที่เงินเฟ้อเคลื่อนไหวในทิศทางสู่เป้าหมายที่ 2% ท่ามกลางความไม่แน่นอนในช่วงเวลาการเปลี่ยนผ่านตำแหน่งประธานเฟด ซึ่งวุฒิสภาสหรัฐจะมีการพิจารณาแต่งตั้งผู้ที่จะมาแทนเจเน็ต เยลเลน จะครบเทอมในเดือนกถมภาพันธ์ 2018

logoline