svasdssvasds
เนชั่นทีวี

เศรษฐกิจ

ทรัมป์ตั้งฉายาคิม จองอึน เป็น The Rocket Man ในเวที UN

20 กันยายน 2560
เกาะติดข่าวสาร >> Nation Story
logoline

ทรัมป์ตั้งฉายาคิม จองอีน เป็น The Rocket Man ในเวทีสหประชาชาติ ที่คอยสั่งทดสอบยิงขีปนาวุธและระเบิดนิวเคลียร์อย่างต่อเนื่อง โดยย้ำว่าสหรัฐมีความแข็งแกร่งและอดกลั้นมามาก แต่ถ้าถูกบีบบังคับให้ต้องป้องกันตนเองแล้ว ก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากทำลายเกาหลีเหนือให้สิ้นซาก ขณะเดียวกันยังกล่าวโจมตีรัฐบาลอิหร่านที่คิดจะละเมิดข้อตกลงจำกัดโครงการนิวเคลียร์ จึงเรียกร้องให้อิหร่านยุติแผนทำลายสันติภาพ และภัยใหญ่ที่สุดที่คุกคามเสถียรภาพตะวันออกกลาง แต่ในอีกมุมหนึ่งที่ทรัมป์กลับถูกกระแสวิจารณ์ว่าเป็นช่วงเวลาที่หมดยุคแล้วสำหรับผู้นำสหรัฐจะมาชี้นิ้วสั่งให้ประเทศต่างๆ ให้ทำอย่างโน้นอย่างนี้

นอกจากนี้ ประธานาธิบดีทรัมป์ยังเตือนถึงกลุ่มก่อการร้ายกำลังมีความแข็งแกร่งมากขึ้น และกระจายตัวไปทั่วโลก ขณะนี้เป็นเวลาที่จะต้องมีการเปิดเผยว่าประเทศใดบ้างที่ให้การสนับสนุนกลุ่มก่อการร้าย และเรียกร้องให้ UN จะต้องหยุดยั้งกลุ่มมุสลิมหัวรุนแรง และกลุ่มก่อการร้ายเหล่านี้จะต้องถูกขับไล่ออกจากประเทศต่างๆ
ขณะที่ความเสี่ยงภัยธรรมชาติกระจายตัวมากขึ้น เมื่อเกิดเหตุแผ่นดินไหวรุนแรง 7.1 แมกนิจูดทางตอนกลางของเม็กซิโก มียอดผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นเป็น 139 คนล่าสุด ขณะที่ตัวตีกอาคารราว 44 แห่งในเมืองเม็กซิโกซิตี้ต้องถล่มคลืนลงมาจากการสั่นไหวที่เกิดขึ้น
1.ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้กล่าวสุนทรพจน์ในที่ประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ (UN) ที่มหานครนิวยอร์กเมื่อวันอังคาร โดยกล่าวถึงเกาหลีเหนือว่า สหรัฐมีความแข็งแกร่งและอดกลั้นมาก แต่หากถูกคุกคามและถูกบีบบังคับให้ต้องปกป้องตนเองและพันธมิตร ก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากที่จะต้องทำลายเกาหลีเหนือให้สิ้นซาก ซึ่งสหรัฐมีความพร้อม และมีความเต็มใจที่จะใช้กำลังทหารโจมตีเกาหลีเหนือ แต่ก็ขอเรียกร้องให้ UN หาทางจัดการกับเกาหลีเหนือด้วยสันติวิธี
ผู้นำสหรัฐยังได้กล่าวอย่างแข็งกร้าว โดยเรียกประธานาธิบดีเกาหลีเหนือคิม จองอึน ว่า "The Rocket Man" ที่คอยสั่งทดสอบยิงขีปนาวุธและระเบิดนิวเคลียร์อย่างต่อเนื่อง ซึ่งประธานาธิบดีทรัมป์ย้ำว่า The Rocket Man กำลังอยู่บนเส้นทางของการฆ่าตัวเอง และสหรัฐพร้อมเสมอที่จะลงมือได้ทันที แต่หวังว่าคงจะไม่จำเป็น เพราะถือเป็นหน้าที่ของสหประชาชาติตามตวามมุ่งหมายที่ก่อตั้งขึ้น ก็ขอให้รอดูกันต่อไป พร้อมกันนี้ได้กล่าวขอบคุณจีน รัสเซีย และทุกประเทศที่เกี่ยวข้องในการคว่ำบาตรเกาหลีเหนือ แต่ยังคงตำหนิประเทศที่ยังคงทำการค้ากับเกาหลีเหนือ

แต่ในอีกมุมหนึ่งประธานิฃาธิบดีทรัมป์กลับถูกวิจารณ์ว่าเป็นช่วงเวลาที่หมดยุคแล้วสำหรับผู้นำสหรัฐจะมาชี้นิ้วสั่งให้ประเทศต่างๆ ให้ทำอย่างโน้นอย่างนี้ ขณะที่สมาชิกวุฒิสภาหญิงของพรรคเดโมแครตในสหรัฐ แสดงความไม่เห็นด้วยกับคำกล่าวของประธานาธิบดีทรัมป์ เพราะ UN มีเป้าหมายสร้างสันติภาพให้แข็งแกร่งและสนับสนุนความร่วมมือของโลก แต่ผู้นำสหรัฐกลับใช้เวทีนี้ข่มขู่จะทำสงคราม ทำให้สหรัฐถูกโดดเดี่ยวมากยิ่งขึ้น


2.ประธานาธิบดีทรัมป์ยังได้กล่าวโจมตีอิหร่านเป็นรัฐบาลเผด็จการ ทำลายสันติภาพในตะวันออกกลาง โดยการสนับสนุนการก่อการร้าย โดยย้ำว่าอิหร่านจะต้องยุติการติดอาวุธให้กับกลุ่มก่อการร้าย และเคารพอธิปไตยของประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะการสนับสนุนรัฐบาลของประธานาธิบดีบาชาร์ อัล-อัสซาด ของซีเรีย ที่เป็นการบั่นทอนเสถียรภาพในตะวันออกกลาง
นอกากนี้ สหรัฐก็ไม่อาจจะสนับสนุนข้อตกลงนิวเคลียร์ที่อิหร่านจะใช้เป็นฉากบังหน้าในการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ ซึ่งถือเป็นภัยใหญ่ที่สุดที่คุกคามระบอบอิหร่านไม่ใช่กองทัพสหรัฐ แต่เป็นประชาชนอิหร่านเองที่ต้องการความเปลี่ยนแปลง ดังนั้นขอให้ประชาคมโลกร่วมกับสหรัฐเรียกร้องให้อิหร่านยุติแผนการทำลายล้างนี้เสีย


3.พร้อมกันนี้ประธานาธิบดีทรัมป์เตือนว่า กลุ่มก่อการร้ายกำลังมีความแข็งแกร่งมากขึ้น และกระจายตัวไปทั่วโลก ขณะนี้เป็นเวลาที่จะต้องมีการเปิดเผยว่าประเทศใดบ้างที่ให้การสนับสนุนกลุ่มก่อการร้าย
ดังนั้น ความสำเร็จในการต่อสู้กับกลุ่มก่อการร้ายอยู่ที่การเป็นพันธมิตรที่เข้มแข็งของประเทศต่างๆ ที่เป็นอิสระ และ UN จะต้องหยุดยั้งกลุ่มมุสลิมหัวรุนแรง และกลุ่มดังกล่าวจะต้องถูกขับไล่ออกจากประเทศต่างๆ ซึ่งสหรัฐมีการดำเนินการที่คืบหน้าในการต่อสู้กับกลุ่มรัฐอิสลาม (IS) ในช่วง 8 เดือนที่ผ่านมา มากกว่าที่ได้ดำเนินการในช่วงหลายปีก่อนหน้านี้
อย่างไรก็ตาม ในตอนท้ายประธานาธิบดีทรัมป์กล่าวย้ำถึงนโยบาย "อเมริกาต้องมาก่อน" และกระตุ้นให้ประเทศสมาชิกอื่นๆ มองเป็นตัวอย่างด้วย โดยเฉพาะนโยบายการต่างประเทศของสหรัฐที่จะถูกบีบให้แคบลงตามผลประโยชน์ของอเมริกา หลังจากที่กินเวลาเนิ่นนานเกินไปแล้วสำหรับประชาชนอเมริกันที่จะต้องผูกโยงข้อตกลงการค้าโบร่ำโบราณเหมือนแมมมอธกับประเทศต่างๆ อย่างมากมาย จนยุ่งเหยิงในช่วงที่ผ่านมา


4.เมื่อเช้าวันพุธที่ 20 กันยายน ในเวลา 08:06 น. ตรงกับเวลา 13.14 น.ตามเวลาท้องถิ่นในวันอังคาร สำนักงานสำรวจธรณีวิทยาแห่งสหรัฐ (USGS) รายงานว่า เกิดแผ่นดินไหวที่วัดความรุนแรงได้ 7.1 แมกนิจูดในเมืองเม็กซิโกซิตี้ ประเทศเม็กซิโก โดยวานนี้ตามเวลาท้องถิ่น ขณะที่ยอดผู้เสียชีวิตในขณะนี้เพิ่มขึ้นเป็น 139 คนล่าสุด
โดย USGS ระบุว่า แผ่นดินไหวครั้งนี้มีศูนย์กลางที่ระดับความลึก 51 กิโลเมตร ใกล้กับเมืองโรโบโซนในรัฐพิวบลา ห่างจากทิศตะวันออกเฉียงใต้ของเมืองเม็กซิโกซิตี้ออกไปราว 120 กิโลเมตร ซึ่งแรงสั่นสะเทือนของแผ่นดินไหวส่งผลให้อาคารหลายแห่งสั่นสะเทือน และมีอาคาร 44 แห่งพังทลาย โดยรายงานระบุว่า ยังมีประชาชนติดอยู่ในซากอาคาร ซึ่งเจ้าหน้าที่หน่วยกู้ภัยกำลังเร่งค้นหาผู้รอดชีวิต ก่อนหน้านี้ เม็กซิโกเพิ่งเพิ่งจะเผชิญกับแผ่นดินไหวรุนแรง 8.1 แมกนิจูดเมื่อวันที่ 7 กันยายน ซึ่งมีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 98 คน


5.ท่ามกลางบรรยากาศการลงทุนของตลาดหุ้นทั่วโลกเริ่มอ่อนไหวมีการเทขายทำกำไรในเอเชีย จากความตึงเครียดทางการเมืองระหว่างประเทศบนเวทีประชุมสหประชาชาติ ถึงแม้ว่าดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดทำนิวไฮติดต่อกันเป็นวันที่ 6 เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา เช่นเดียวกับการทำนิวไฮของดัชนี Nasdaq และ S&P 500 หลังจากนักลงทุนได้เข้าซื้อหุ้นกลุ่มการเงินอย่างคึกคัก
พร้อมกับจับตาการประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ซึ่งจะเสร็จสิ้นวันพุธนี้ตามเวลาในสหรัฐ ซึ่งคาดว่าคณะกรรมการเฟดจะแถลงรายละเอียดเกี่ยวกับแผนการปรับลดงบดุลจากวงเงิน 4.5 ล้านล้านดอลลาร์

ทั้งนี้ ดาวโจนส์ปิดที่ 22,370 เพิ่มขึ้น 39.45 จุด หรือ 0.18% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,506 เพิ่มขึ้น 0.11% และ Nasdaq ปิดที่ 6,461 เพิ่มขึ้น 0.10% โดยนักลงทุนเก็งกันว่า หากเฟดปรับลดงบดุลเดือนละ 1 กมื่ยล้านดอลลาร์ที่คาดว่าจะเริ่มขึ้นในเดือนตุลาคมนี้ ก็จะส่งผลให้ผลตอบแทนบอนด์ระยะยาวของรัฐบาลสหรัฐพุ่งขึ้น ซึ่งจะช่วยหนุนผลกำไรของแบงก์สหรัฐ โดยที่อัตราผลตอบแทนบอนด์รัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปี ดีดตัวสู่ระดับ 2.241%
นอกจากนี้ นักลงทุนยังจับตาถ้อยแถลงของเจเน็ต เยลเลน ประธานเฟด ต่อทิศทางเงินเฟ้อ ที่อาจเป็นสัญญาณบ่งชี้การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนธันวาคมนี้

logoline