svasdssvasds
เนชั่นทีวี

เศรษฐกิจ

จีนและญี่ปุ่น กลับเข้าซื้อบอนด์ระยะยาวของรัฐบาลสหรัฐเพิ่มขึ้น

19 กันยายน 2560
เกาะติดข่าวสาร >> Nation Story
logoline

จีนและญี่ปุ่นกลับเข้าซื้อบอนด์ระยะยาวของรัฐบาลสหรัฐเพิ่มขึ้นสำหรับการลงทุนล่าสุดในเดือนกรกฎาคมเป็นมูลค่า 1.95 และ 2.20 หมื่นล้านดอลลาร์ ส่งผลให้ทั้ง 2 ประเทศยังคงเป็นรัฐบาลต่างชาติที่ถือครองบอนด์รัฐบาลสหรัฐรายใหญ่ที่สุดเป็นมูลค่า 1.113 และ 1.166 ล้านล้านดอลลาร์ ตามลำดับ เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากนโยบายการเงินที่ตึงตัวมากขึ้นของเฟด ทั้งจากการปรับขึ้นดอกเบี้ยและลดภาระ QE จำนวน 4.5 ล้านล้านดอลลาร์ที่คาดว่าเฟดจะเริ่มดำเนินการในเดิอนตุลาคมนี้

ขณะที่ไทยและอินโดนีเชียมีฐานะทุนสำรองเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยไทยมีทุนสำรองเพิ่มขึ้น 2.5 หมื่นล้านดอลลาร์ เป็น 1.97 แสนล้านดอลลาร์ และอินโดนีเซียมีทุนสำรองเพิ่มขึ้น 1.2 หมื่นล้านดอลลาร์ เป็น 1.29 แสนล้านดอลลาร์ จากรายงานของ BofA ชี้ว่า ท่ามกลางดอลลาร์อ่อนค่าลง แต่กลับมีเซอร์ไพรส์จากธนาคารกลางในกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ได้เข้ามาเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในสกุลเงินดอลลาร์โดยสะสมไว้ในทุนสำรองระหว่างประเทศที่มีสัดส่วนเพิ่มมากขึ้นตั้งแต่ต้นปี 2017 มานี้ คิดเป็นมูลค่าที่เพิ่มขึ้น 1.86 แสนล้านดอลลาร์สำหรับกลุ่ม 6 ธนาคารกลางประเทศตลาดเกิดใหม่
ทางด้านเกาหลีเหนือประกาศล่าสุดตอบโต้มาตรการคว่ำบาตรว่าเป็นเรื่องเลวร้ายและไร้ศีลลธรรม รวมทั้งยังเป็นการทำร้ายประชาชนชาวเกาหลีเหนือ โดยที่สำนักข่าวกลางเกาหลีเหนือ (KCNA) ระบุว่าหากสหรัฐและพันธมิตรยังทำการคว่ำบาตรมากขึ้น ทางเกาหลีเหนือก็จะยิ่งเร่งดำเนินการเพื่อให้เสร็จสิ้นโครงการพัฒนานิวเคลียร์รวดเร็วขึ้น


1.Bank Of America (BofA) ระบุในรายงานเดือนกรกฎาคมของกระทรวงการคลังสหรัฐ ชี้ว่าล่าสุดทั้งจีนและญี่ปุ่นได้กลับเข้าซื้อบอนด์ระยะยาวของรัฐบาลสหรัฐเพิ่มขึ้นสำหรับการลงทุนล่าสุดในเดือนกรกฎาคมเป็นมูลค่า 1.95 และ 2.20 หมื่นล้านดอลลาร์ ตามลำดับ เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากนโยบายการเงินที่ตึงตัวมากขึ้นของเฟด ทั้งจากการปรับขึ้นดอกเบี้ยและลดภาระ QE จำนวน 4.5 ล้านล้านดอลลาร์ที่คาดว่าเฟดจะเริ่มดำเนินการในเดิอนตุลาคมนี้ โดยที่บอนด์ยีลของรัฐบาลสหรัฐมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 2.23% ล่าสุด

ส่งผลให้ทั้ง 2 ประเทศยังคงเป็นรัฐบาลต่างชาติที่ถือครองบอนด์รัฐบาลสหรัฐรายใหญ่ที่สุด โดยที่ญึ่ปุ่นถือครองมากที่สุดเป็นอันดับ 1 คิดเป็นมูลค่า 1.166 ล้านล้านดอลลาร์ ส่วนจีนตกไปเป็นอันดับ 2 คิดเป็นมูลค่า 1.113 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นสัญญาณการรีบาวน์ที่ชัดเจนอีกครั้ง หลังจากที่บอนด์รัฐบาลสหรัฐถูดเทขายอย่างหนักนับตั้งแต่เดือนธันวาคม 2015 จนถึงเดือนพฤศติกายน 2016 เป็นปริมาณสูงถึง 3.97 แสนล้านดอลลาร์ ในจำนวนนี้เป็นขายจากพอร์ตลงทุนของรัฐบาลต่างชาติ 2.35 แสนล้านดอลลาร์

2.รายงานของ BofA ยังชี้ว่า ท่ามกลางดอลลาร์อ่อนค่าลง แต่กลับมีเซอร์ไพรส์จากธนาคารกลางในกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ได้เข้ามาเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในสกุลเงินดอลลาร์โดยสะสมไว้ในทุนสำรองระหว่างประเทศที่มีสัดส่วนเพิ่มมากขึ้นตั้งแต่ต้นปี 2017 มานี้ คิดเป็นมูลค่าที่เพิ่มขึ้น 1.86 แสนล้านดอลลาร์สำหรับกลุ่ม 6 ธนาคารกลางประเทศตลาดเกิดใหม่ ซึ่งมีไทยติดอยู่ในกลุ่มประเทศดังกล่าวด้วย
สำหรับ 6 ประเทศในตลาดเกิดใหม่ที่มีฐานะทุนสำรองระหว่างประเทศเพิ่มสูงขึ้นมากในปี 2017 นี้ ประกอบด้วย ทุนสำรองทางการของจีนมีจำนวนเพิ่มขึ้น 8.1 หมื่นล้านดอลลาร์จากสิ้นปี 2016 เป็น 3.091 ล้านล้านดอลลาร์ อินเดียมีทุนสำรองเพิ่มขึ้น 3.8 หมื่นล้านดอลลาร์เป็น 3.98 แสนล้านดอลลาร์ เกาหลีใต้มีทุนสำรองเพิ่มขึ้น 1.4 หมื่นล้านดอลลาร์เป็น 3.85 แสนล้านดอลลาร์ ส่วนบราซิลหลังจากเจอภาวะเศรษฐกิจตกต่ำและกระแสเงินทุนไหลออกปริมาณมากในช่วง 2 ปีก่อน เริ่มมีเงินทุนไหลเข้า โดยฐานะทุนสำรองทางการเพิ่มขึ้น หมื่นล้านดอลลาร์ เป็น แสนล้านดอลลาร์
ขณะที่ไทยและอินโดนีเชียมีฐานะทุนสำรองเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยไทยมีทุนสำรองเพิ่มขึ้น 2.5 หมื่นล้านดอลลาร์ เป็น 1.97 แสนล้านดอลลาร์ และอินโดนีเซียมีทุนสำรองเพิ่มขึ้น 1.2 หมื่นล้านดอลลาร์ เป็น 1.29 แสนล้านดอลลาร์

3.สำนักข่าวกลางเกาหลีเหนือ (KCNA) ประกาศว่าหากสหรัฐและพันธมิตรทำการคว่ำบาตรเกาหลีเหนือมากขึ้น ทางเกาหลีเหนือก็จะยิ่งเร่งดำเนินการเพื่อให้เสร็จสิ้นโครงการพัฒนานิวเคลียร์รวดเร็วขึ้นอีก
KCNA ยังระบุว่า มาตรการคว่ำบาตรครั้งล่าสุดจากคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) ถือเป็นการกระทำที่เลวร้าย ไร้ศีลธรรม และไม่มีมนุษยธรรมอบ่างที่สุดเพื่อหวังทำลายประชาชนเกาหลีเหนือ รวมทั้งระบอบการปกครอง และรัฐบาลของเกาหลีเหนือ
ทั้งนี้ เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา UNSC มีมติเป็นเอกฉันท์ในการคว่ำบาตรเกาหลีเหนือรอบใหม่ ซึ่งรวมถึงการห้ามส่งออกสิ่งทอ และการจำกัดการนำเข้าน้ำมัน นวมทั้งการห้ามชาวเกาหลีเหนือในต่างประเทศว่งเงินเข้าประเทศ โดยคาดว่าจะส่งผลต่อเงินทุนและรายได้ของเกาหลีเหนือสูงถึง 1.3 พันล้านดอลลาร์จากมาตรการคว่ำบาตรดังกล่าว
ขณะที่ทำเนียบขาวแถลงว่า ในการสนทนาทางโทรศัพท์ระหว่างประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ได้เห็นพ้องกันที่จะใช้ความพยายามกดดันให้มากที่สุดเพื่อให้เกาหลีเหนือยุติโครงการนิวเคลียร์ ซึ่งผ่านมติของ UNSC

4.Toys "R" Us Inc. บริษัทของเล่นรายใหญ่ในสหรัฐเตรียมการยื่นล้มละลายตาม Chapter 11 เพื่อที่จะสามารถเข้าสู่แผนการฟื้นฟูกิจการ โดยกำลังอยู่ระหว่างการขอเงินกู้ใหม่กับธนาคารเพื่อนำมาเป็นเงินลงทุน ซึ่งมีความหวังจะกลับมาเปิดดำเนินการได้ใหม่ในเร็วๆ นี้ หลังจากพบว่าบริษัทมีภาระหนี้ท่วมมากถึง 7.5 พันล้านดอลลาร์ ในขณะที่ต้องประสบกับภาวะการแข่งขันการค้าทางออนไลน์อย่างดุเดือด
โดยมีรายงานข่าวว่า กิจการของ Toys "R" Us ผู้ผลิตของเล่นยักษ์ใหญ่จากสหรัฐที่มีสาขาทั่วโลก รวมทั้งในไทยด้วยนั้น อาจจะยื่นขอการพิทักษ์ทรัพย์ภายใต้ Chapter 11 ต่อศาลล้มละลายเมืองริชมอนด์ รัฐเวอร์จิเนีย ในเวลาอีกไม่นานนัก
อย่างไรก็ตาม กิจการค้าปลีกในสหรัฐที่เคยมีผลประกอบการดีเด่นในช่วงก่อนเกิดวิกฤติการเงินในสหรัฐ แต่ปัจจุบันต้องประสบกับการแข่งขันทางด้านอี-คอมเมอร์ซอย่างรุนแรง โดยนับตั้งแต่ต้นปี 2017 กิจการค้าปลีกฝยสหรัฐที่มีการยื่นล้มละลายตาม Chapter 11 ถึง 25 ราย เนื่องจากมีภาระหนี้สินที่เพิ่มมากขึ้นจนเป็นอุปสรรคต่อการค้ามากกว่า 6.4 พันล้านดอลลาร์

5.ขณะที่ตลาดทุนทั่วโลกมีการปรับตัวขึ้นในทิศทางบวกช่วงต้นสัปดาห์นี้ Bitcoin ก็มีการปรับตัวขึ้นเช่นกัน ดีดราคาขึ้นมากว่า 20% จากที่ดิ่งลงไปที่ระดับต่ำสุดในรอบนี้ที่ 2,975 ดอลลาร์ต่อ 1 Bitcoin หลังจากที่ได้รับผลกระทบจากการถูกธนาคารกลางจีนสั่งระงับการซื้อขายเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา
ล่าสุด Bitcoin มีการดีดตัวขึ้นของราคายืนเหนือระดับ 4,000 ดอลลาร์ที่ 4,017 ดอลลาร์อีก ท่ามกลางการคาดการณ์ของเทรดเดอร์ที่เชื่อว่า ราคา Bitcoin อาจจะพุ่งขึ้นไปได้ถึง 6,000 ดอลลาร์ในปี 2017 นี้ เนื่องมาจากปัจจัยความต้องการเสี่ยงเก็งกำไรของตลาด

logoline