svasdssvasds
เนชั่นทีวี

เศรษฐกิจ

วอร์เรน บัฟเฟตต์ เซอร์ไพรส์ตลาด หันมาถือเงินสดมากขึ้น สูงเกือบ 1 แสนล้านดอลลาร์

22 สิงหาคม 2560
เกาะติดข่าวสาร >> Nation Story
logoline

วอร์เรน บัฟเฟตต์ เซอร์ไพรส์ตลาดด้วยการหันมาถือเงินสดมากขึ้นสูงเกือบ 1 เสนล้านดอลลาร์ในขณะนี้ เป็นสัดส่วนที่เพิ่มขึ้นมากกว่า 2 เท่าตัวในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา โดยเชื่อมีความปลอดภัยมากกว่าหลังจากที่ภาวะหุ้นสหรัฐตกอยู่ในภาวะที่มีราคาหุ้นสูงเกินความเป็นจริง หรือ Overvalue ขณะที่นักลงทุนและนักวิเคราะห์ยังคงมีมุมมองว่าจะเกิดการปรับตัวลงครั้งใหญ่ของตลาดหุ้นในสหรัฐ ท่ามกลางตลาดบอนด์ที่มีการปรับตัวลดลงของอัตราผลตอบแทนอย่างรวดเร็วมาแล้วตั้งแต่ปีก่อนโดยลดลงมาอยู่ในระดับอัตราผลตอบแทนต่ำสุดในรอบ 500 ปี

โดยในรอบ 9 ปีที่ผ่านมา ดัชนีราคาหุ้น S&P500 ซึ่งเป็นตลาดหุ้นที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของสหรัฐมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นถึง 270% เทียบกับขนาดของเศรษฐกิจ (จีดีพี) สหรัฐมีการขยายตัวเพิ่มขึ้นเพียง 34% ในขณะที่รายได้ต่อครัวเรือนของคนอเมริกัยเพิ่มขึ้นในระดับกลางๆ
ขณะที่วอลล์สตรีท เจอร์นัล ตั้งข้อสงสัยเหตุใดทองคำที่เก็บไว้ในห้องมั่นคงของเฟดสาขานิวยอร์กจึงเหลืออยู่เพียง 6,200 ตัน แต่เฟดก็ไม่เคยเปิดโอกาสให้บุคคลภายนอกเข้าไปตรวจนับว่ามีทองคำอยู่จริงเป็นจำนวนเท่าไร ทั้งนี้ราคาทองมีการเคลื่อนไหวปรับตัวสูงขึ้นที่ 1,300 ดอลลาร์ต่อออนซ์ แต่ก็ทรงตัวได้เล็กน้อยมาเคลื่อนไหวที่ 1,290 ดอลลาร์ต้อออนซ์ในตลาดสปอตที่เซี่ยงไฮ้ และอยู่ที่ 1,295 ดอลลาร์ต่อออนซ์ที่ตลาดล่วงหน้า (Comex) ในนิวยอร์ก
1.วอร์เรน บัฟเฟตต์ ในวัย 87 ปีมหาเศรษฐีอันดับ 3 ของโลกได้ชื่อว่าเป็นนักลงทุนหุ้นระยะยาวหรือ Value Investor ทำเซอร์ไพรส์ตลาดด้วยการหันมาถือเงินสดมากขึ้นสูงถึง 9.96 หมื่นล้านดอลลาร์เมื่อสิ้นสุดไตรมาส 2 ของปีนี้ ซึ่งเป็นสัดส่วนที่เพิ่มขึ้นมากกว่า 2 เท่าตัวจากช่วง 4 ปีก่อน ซึ่งมีการถือเงินสดต่ำกว่า 4 หมื่นล้านดอลลาร์ในช่วงไตรมาส 2 ของปี 2013 ที่ผ่านมา โดยเชื่อมีความปลอดภัยมากกว่าหลังจากที่ภาวะหุ้นสหรัฐตกอยู่ในภาวะที่มีราคาหุ้นสูงเกินความเป็นจริง หรือ Overvalue ในขณะนี้
นับตั้งแต่ไตรมาส 2 ปี 2013-2017 วอร์เรน บัฟเฟตต์ มีการปรับพอร์ตถือครองเงินสดเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากไตรมาส 2 ปี 2013 ในระดับ 3.8 หมื่นล้านดอลลาร์ มาเป็น 5,7 หมื่นล้านดอลลาร์ในไตรมาส 2 ปี 2014 โดยมีสัดส่วนเพิ่มจึ้นอีกที 6.8 หมื่นล้านดอลลาร์ในไตรมาส 2 ปี 2015 ต่อมาในไตรมาส 2 ปี 2016 อยู่ที่ 7.2 หมื่รล้านดอลลาร์ และขึ้นมาสูงถึง 9.96 หมื่นล้านดอลลาร์เมื่อสิ้นไตรมาส 2 ของปีนี้

2.วอร์เรน บัฟเฟตต์ ถือว่าเป็นนักลงทุนหุ้นระยะยาวหรือ Value Investor ที่มีมุมมองบวกต่อการลงทุนในตลาดหุ้นมาตลอดมากกว่าครึ่งศตวรรษที่ผ่านมา โดยที่ในช่วงระหว่างปี 1964-2014 เป็นช่วง 50 ปีที่การลงทุนหุ้นในดัชนี S&P500 ที่ให้ผลตอบแทนเพิ่มขึ้นถึง 11,000% ในขณะที่ค่าเงินดอลลาร์ร่วงลงถึง 87%
ในขณะที่มีสถิติเปรียบเทียบล่าสุดถึงการลงทุนหุ้นในดัชนี S&P500 ช่วง 9 ปีที่ผ่านมาให่ผลตอบแทนเพิ่มขึ้นถึง 270% เปรียบเทียบกับการขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐที่มีขนาดของจีดีพีเพิ่มขึ้นเพียง 34%
อย่างไรก็ตาม การหันมาถือเงินสดที่มากขึ้นของวอร์เรน บัฟเฟตต์ ทำให้มีการคาดเดาว่ากำลังจะมีการปรับตัวครั้งใหญ่ในตลาดหุ้น ในขณะที่นักลงทุนและนักวิเคราะห์หลายสำนักต่างก็มีมุมมองว่าจะเกิดการปรับตัวลงของตลาดหุ้นในสหรัฐ ท่ามกลางตลาดบอนด์ที่มีการปรับตัวลดลงของอัตราผลตอบแทนอย่างรวดเร็วมาแล้วตั้งแต่ปีก่อน
โดยเฉพาะมุมมองของ Bill Gross ซึ่งเป็นเจ้าพ่อลงทุนในตลาดบอนด์ และ Lord Jacob Rothschild ที่มองว่า ตลาดบอนด์โลกทุกวันนี้ อาจจะเกิดความเสี่ยงจาก Supernova ที่จะระเบิดขึ้นในวันหนึ่งวันใดก็ได้ เมื่อมูลค่าบอนด์ในตลาดโลกมากกว่า 10 ล้านล้านดอลลาร์ให้อัตราผลตอบแทนที่เป็นดอกเบี้ยติดลบ หรือ Negative Interest Rate ส่งผลผลตอบแทนที่เป็น Global Yields ลดลงต่ำที่สุดเป็นประวัติการณ์ในรอบ 500 ปีของภาวะตลาดการเงินโลก
ทั้งนี้ อัตราผลตอบแทนบอนด์ของรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปีล่าสุดอยู่ที่ 2.189% ขณะที่บอนด์อายุ 30 ปีอยู่ที่ระดับเพียง 2.77% เท่านั้น

3.นอกจากนี้ บทวิเคราะห์หุ้นของ Bamk Of America (BofA) เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ชี้ว่าช่วงเวลาที่อันตรายของตลาดหุ้นสหรัฐอาจจะเกิดขึ้นในระยะ 3-4 เดือนข้างหน้านี้ในช่วงที่ฤดูใบไม้ร่วงมาถึง โดยที่ตลาดหุ้นสหรัฐอนจจะมีการปรับตัวลดลง 25-33% จากปัจจุบัน ทำให้ต้องคิดถึงในขณะนี้ว่าหากเกิดสถานการณ์นั้นเป็นจริง ดังนั้นในช่วงเดือนสิงหาคมและกันยายนนั้นจะเป็นช่วงที่นักลงทุนยืนห่างจากความเสี่ยงในตลาดหุ้น
BofA ชี้ว่า ในช่วงที่ผ่านมา มีเงินไหลออกจากตลาดหุ้นสหรัฐสัปดาห์ละ 1.3 พันล้านดอลลาร์ แต่ไปเข้าลงทุนในตลาดบอนด 3.5 พันล้านดอลลาร์ และลงทุนในทอง 500 ล้านดอลลาร์ โดยเฉพาะความตึงเครียดของ "fire & fury" ระหว่างสหรัฐและเกาหลีเหนือนั้นมีเม็ดเงินที่ไหลออกจากหุ้นถึง 7.4 พันล้านดอลลาร์
ขณะที่มีเม็ดเงินไหลออกจาก High Yield Bond Funds ถึง 2.3 พันล้านดอลลาร์หลังจากที่ส่วนต่างของอัตราผลตอบแทนของสินทรัพย์เสี่ยงสูง (High Yield Spread) พุ่งขึ้นจาก 3.64% เป็น 4.0% ส่วนการไหลออกจากตลาดหุ้นกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่มีตำนวน 1.7 พันล้านดอลลาร์

4.วอลล์สตรีท เจอร์นัล ตั้งข้อสงสัยในการตีพิมพ์บทความเมื่อไม่นานมานี้ว่า ทองคำที่เก็บไว้ในห้องมั่นคงของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขานิวยอร์กที่เหลือเพียง 6,200 ตันมีอยู่จริงหรือ? แต่เฟดก็ไม่เคยยินยอมให้บุคคลภายนอกเข้าไปตรวจนับว่า มีทองคำอยู่จริงเป็นจำนวนเท่าไร รวมทั้งไม่เคยเปิดโอกาสให้มีการตรวจสอบจากสาธารณชนแต่อย่างใดนับตั้งแต่ปี 1924 ที่มีการจัดตั้งเฟด
ขณะที่ก่อนหน้านี้เฟดมีรายงานว่ามีการเบิกถอนทองคำออกจากห้องมั่นคงที่ใช้จัดเก็บทั้งจากธนาคารกลางเยอรมนีและธนาคารกลางเนเธอร์แลนด์ เนื่องจากว่าทองคำที่สหรัฐมีอยู่นั่นเป็นการถือครองทั้งจากเฟดและกระทรวงการคลังสหรัฐ รสมทั้งเป็นการถือครองของรัฐบาลและนักลงทุนต่างชาติ โดยรายงาน ณ สิ้นสุดเดือนกรกฎาคม 2017 มีทองคำในเฟดสาขานิวยอร์กจำนวน 5,775 ตัน และยังเป็ส่วนของกระทรวงการคลังสหรัฐอีก 416 ตัน

5.ทั้งนี้ เฟดได้กำหนดมูลค่าราคาทอง (Earmarked Gold) ที่ถืออยู่ 5,775 ตันที่ระดับราคา 42.22 ดอลลาร์ต่อออนซ์ รวมเป็นมูลค่า 7.84 พันล้านดอลลาร์ ขณะที่เฟดมีการเปิดเผยต่อสาธารณะว่ามีการเก็บสะสมทองคำมากที่สุดในโลกคิดเป็นมูลค่า 2,4-2,6 แสนล้านดอลลาร์
สำหรับราคาทองมีการเคลื่อนไหวปรับตัวสูงขึ้นที่ 1,300 ดอลลาร์ต่อออนซ์เมื่อต้นเดือนนี้ แต่ก็ทรงตัวได้ในช่วงสั้นๆ โดยปรับตัวลดลงมาเคลื่อนไหวที่ 1,290 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในตลาดสปอตที่เซี่ยงไฮ้ และอยู่ที่ 1,295 ดอลลาร์ต่อออนซ์ที่ตลาดล่วงหน้า (Comex) ในนิวยอร์ก

logoline