svasdssvasds
เนชั่นทีวี

เศรษฐกิจ

ทรัมป์เผชิญวิกฤติศรัทธาทีมงานทำเนียบขาว หลังผู้อยู่เบื้องหลังกระแสชาตินิยมลาออก

21 สิงหาคม 2560
เกาะติดข่าวสาร >> Nation Story
logoline

ทรัมป์เผชิญวิกฤติศรัทธาทีมงานทำเนียบขาว หลังสตีฟ แบนนอน ทิ้งตำแหน่งนักยุทธศาสตร์หลักของทรัมป์ ทั้งที่เขาอยู่เบื้องหลังกระแสชาตินิยมของทรัมป์ในช่วงหาเสียงจนชนะการเลือกตั้ง และนโยบายทำสงครามการค้ากับจีน ท่ามกลางความไม่แน่นอนทางการเมืองในสหรัฐทำให้นักลงทุนเกิดความวิตกว่า คณะบริหารของทรัมป์จะสามารถผลักดันนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นนโยบายที่ใช้หาเสียงช่วงเลือกตั้งจะเป็นผลสำเร็จหรือไม่ ส่งผลตลาดหุ้นสหรัฐมีความเสี่ยงขาลง

ขณะที่ทรัมป์ทวีตขอบคุณ สตีฟ แบนนอน ที่เข้ามาช่วยในช่วงหาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดี พร้อมกับแสดงความเชื่อมั่นว่าเขาจะเป็นกระบอกเสียงที่แข็งแกร่ง และชาญฉลาดที่อาจจะมากกว่าแต่ก่อนด้วย โดยที่เขาจะกลับไปนั่งเก้าอี้ประธานบริหารของเว็บไซต์ข่าวขวาจัดของเบรตบาร์ตนิวส์ต่อไป ถึงแม้ว่าไม่ได้ชี้แจงเหตุผลของการออกจากตำแหน่ง แต่มีข่าวลือว่าทรัมป์หมดความไว้ใจในตัวสตีฟ แบนนอน รวมทั้งมีข่าวความขัดแย้งกับแกรี โคห์น ประธานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจแห่งชาติซึ่งทรัมป์หมายมั่นจะให้เป็นหนึ่งในบุคคลที่จะนั่งเก้าประธานเฟดต่อจากเจเน็ต เยลเลน ในช่วงต้นปีหน้า
ส่วนทางด้านโกลด์แมน แซคส์ วิเคราะห์ล่าสุดว่า มีโอกาส 50% ที่รัฐบาลสหรัฐจะเกิดภาวะที่เรียกว่า Government Shutdown อีก หากการขยายเพดานหนี้ไม่สามารถผ่านรัฐสภาได้ทันจนเกิดภาวะต้องผิดนัดชำระหนี้อีกครั้งในเดือนกันยายนและตุลาคมนี้ อย่างไรก็ตาม นักลงทุนยังคงจับตาการประชุมเศรษฐกิจประจำปีของเฟดสัปดาห์นี้ ซึ่งจะจัดขึ้นที่เมืองแจ็กสัน โฮล รัฐไวโอมิง ในวันที่ 24-26 สิงหาคม ในหัวข้อการประชุมที่ว่า "Fostering a Dynamic Global Economy" ที่เกี่ยวกับการอุปถัมภ์เศรษฐกิจโลกอย่างมีความยีดหนุ่น   
1.ท่ามกลางการเผชิญกับวิกฤติศรัทธาทีมงานทำเนียบขาวของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ หลังจากที่สตีฟ แบนนอน ทิ้งตำแหน่งนักยุทธศาสตร์ที่เป็นตัวหลักของทรัมป์ ซึ่งเขาอยู่เบื้องหลังกระแสชาตินิยมของทรัมป์ในช่วงหาเสียงจนชนะการเลือกตั้ง และนโยบายทำสงครามการค้ากับจีน ทั้งที่เมื่อไม่นานมานี้ เพิ่งปรากฏข่าวการลาออกของไมเคิล ฟลินน์ จากที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติ เรนซ์ พรีบัส ลาออกจากหัวหน้าคณะทำงานประจำทำเนียบขาว และฌอน สไปเซอร์ ลาออกจากโฆษกทำเนียบขาว 
อย่างไรก็ตาม ประธานาธิบดีทรัมป์ได้ทวีตขอบคุณ สตีฟ แบนนอน ที่เข้ามาช่วยในช่วงหาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดี โดยเชื่อมั่นว่าเขาจะเป็นกระบอกเสียงที่แข็งแกร่ง และชาญฉลาดที่อาจจะมากกว่าแต่ก่อนด้วย เนื่องจากสตีฟ แบนนอน จะกลับไปนั่งเก้าอี้ประธานบริหารของเว็บไซต์ข่าวขวาจัดของเบรตบาร์ตนิวส์ต่อไป ถึงแม้ว่าไม่ได้ชี้แจงเหตุผลของการออกจากตำแหน่ง แต่มีข่าวลือว่าทรัมป์หมดความไว้ใจในตัวสตีฟ แบนนอน รวมทั้งมีข่าวความขัดแย้งกับแกรี โคห์น ประธานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจแห่งชาติซึ่งทรัมป์หมายมั่นจะให้เป็นหนึ่งในบุคคลที่จะนั่งเก้าประธานเฟดต่อจากเจเน็ต เยลเลน ในช่วต้นปีหน้า

2.ในวันนี้ทรัมป์กำลังเผชิญกับวิกฤติศรัทธาจากทีมงานทำเนียบขาว และคณะผู้บริหารระดับสูง ที่มีการทยอยลาออกรวมถึง 13 คน คือ นับตั้งแต่การลาออกของ Sally Yates, Michael Flynn, Katie Walsh, Preet Bharara, James Comey, Michael Dubke, Walter Shaub, Mark Corralo, Sean Spicer, Micheal Short, Reince Priebus, Anthony Scaramucci และ Steve Bannon ซึ่งยื่นลาออกเมื่อวันที่ 7 สิงหาคม โดยมีผลในวันที่ 18 สิงหาคม
รวมถึงข่าวลือล่าสุดที่แกรี โคห์น จะอำลาตำแหน่งประธานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจแห่งชาติ ซึ่งต่อมามีการปฏิเสธข่าวจากทำเนียบขาว แต่มีรายงานข่าวว่าแกรี โคห์น นั้นรู้สึกผิดหวังต่อท่าทีของประธานาธิบดีทรัมป์ ที่มีต่อความรุนแรงที่เกิดขึ้นในเมืองชาร์ล็อตส์วิลล์ รัฐเวอร์จิเนีย เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา เนื่องจากคำกล่าวของทรัมป์ที่ว่า ผู้ชุมนุมจากกลุ่มชาตินิยมผิวขาว และกลุ่มผู้ต่อต้าน ควรต้องร่วมรับผิดชอบต่อเหตุรุนแรงดังกล่าว

3.ทางด้านโกลด์แมน แซคส์ วิเคราะห์ล่าสุดว่า มีโอกาส 50% ที่รัฐบาลสหรัฐจะเกิดภาวะที่เรียกว่า Government Shutdown อีก หากการขยายเพดานหนี้ไม่สามารถผ่านรัฐสภาได้ทันกำหนด จนเกิดภาวะต้องผิดนัดชำระหนี้อีกครั้งในเดือนกันยายนถึงตุลาคมนี้ เนื่องจากรัฐบาลสหรัฐมีภาระหนี้ที่ชนเพดานจำนวนมากถึง 12.84 ล้านล้านดอลลาร์ยขณะนี้
ทั้งนี้มีรายงานสถิติที่น่าเป็นห่วงว่า ตลอดระยะเวลา 57 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลสหรัฐต้องประสบกับการยกเพดานหนี้ที่สูงขึ้นถึง 78 ครั้ง เพื่อให้หลีกเลี่ยงภาวะการผิดนัดชำระหนี้ ท่ามกลางความไม่แน่นอนทางการเมืองในสหรัฐ ทำให้นักลงทุนเกิดความวิตกว่า คณะบริหารของทรัมป์จะสามารถผลักดันนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นนโยบายที่ใช้หาเสียงช่วงเลือกตั้งจะเป็นผลสำเร็จหรือไม่ ส่งผลตลาดหุ้นสหรัฐมีความเสี่ยงขาลง

4.อย่างไรก็ตาม นักลงทุนยังคงจับตาการประชุมเศรษฐกิจประจำปีของเฟดสัปดาห์นี้ ซึ่งจะจัดขึ้นที่เมืองแจ็กสัน โฮล รัฐไวโอมิง ในวันที่ 24-26 สิงหาคม ในหัวข้อการประชุมที่ว่า "Fostering a Dynamic Global Economy" ที่เกี่ยวกับการอุปถัมภ์เศรษฐกิจโลกอย่างมีความยีดหนุ่น 
ตลาดหุ้นสหรัฐในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ได้รับแรงกดดันจากสถานการณ์ความไม่แน่นอนภายในทำเนียบขาวของประธานาธิบดีทรัมป์ หลังจากได้ประกาศยุบสภาที่ปรึกษา 2 คณะ และการลาออกของทีมงานที่ร่วมกันหาเสียง เนื่องจากการลาออกของซีอีโอหลายคนประท้วงท่าทีของประธานาธิบดีทรัมป์ที่มีต่อความรุนแรงที่เกิดขึ้นในเมืองชาร์ล็อตส์วิลล์ รัฐเวอร์จิเนีย
รวมถึงแรงกดดันทางด้านคาบสมุทรเกาหลียังคงมีอยู่ต่อเนื่อง แม้ว่าผลสำรวจของซีบีเอส นิวส์ เผยว่า ชาวอเมริกันส่วนใหญ่กว่า 60% เห็นว่าสหรัฐไม่ควรขู่เกาหลีเหนือด้วยวิธีการทางทหาร ขณะที่อีก 33% เห็นว่าควร แต่หากว่าสหรัฐประสบความล้มเหลวในการแก้ปัญหานิวเคลียร์เกาหลีเหนือด้วยวิธีการทางการทูต ผู้ตอบแบบสำรวจ 58% ก็เห็นว่าให้ใช้วิธีการทางทหาร
 โดยที่ดัชนีดาวโจนส์ปิดเมื่อวันศุกร์ที่ 21,674 ลดลง 76.22 จุด หรือ 0.35% ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 6,216 ลดลง 0.09% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,425 ลดลง 0.18% ขณะที่ปริมาณการซื้อขายเป็นไปอย่างเบาบาง

5.ขณะที่ Lord Jacob Rothschild ผู้ก่อตั้งและประธานของ Rothschild Investment Trust ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ถือหุ้นใหญ่ของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ออกมาเตือนและแสดงความเห็นด้วยกับ Bill Gros ผู้บริหารกองทุนที่เป็นขาใหญ่ลงทุนในตลาดบอนด์โลกทุกวันนี้ ชี้ว่า จะเกิดความเสี่ยงที่ Supernova จะระเบิดขึ้นในวันหนึ่งวันใดก็ได้ เมื่อมูลค่าบอนด์ในตลาดโลกมากกว่า 10 ล้านล้านดอลลาร์ให้อัตราผลตอบแทนที่เป็นดอกเบี้ยติดลบ หรือ Negative Interest Rate ส่งผลผลตอบแทนที่เป็น Global Yields ลดลงต่ำที่สุดเป็นประวัติการณ์ในรอบ 500 ปีของภาวะตลาดการเงินโลก
ในภาวะที่ทิศทางนโยบายการเงินของธนาคารกลางโลกกำลังเปลี่ยนไป เนื่องจากภวะการดขเมาอัดฉีดเงินเพิ่มสภาพคล่องให้กับภาวะตลาดการเงินกำลังจะจบสิ้นลง หลังจากที่ทั้งธนาคารกลางสหรัฐ ธนาคารกลางยุโรป และธนาคารกลางญี่ปุ่น ทำการอัดฉีกเงิน QE จนทำให้ฐานะงบดุลบานปลายออกไปเป็นจำนวนเงินมากกว่า 13.8 ล้านล้านดอลลาร์ จากเมื่อทศวรรษที่แล้วที่มีเพียง 4 ล้านล้านดอลลาร์ และถ้ารวมเม็ดเงินการอัดฉีดของธนาคารกลางจีนด้วยแล้ว มีจำนวนมากมายมหาศาลถึง 19 ล้านล้านดอลลาร์
นอกจากนี้ Lord Jacob Rothschild ยังมองว่า Geopolitical Problems ที่เป็นความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างประเทศและภูมิภาคมีการแผ่ขยายกว้างออกไปในโลกปัจจุบันนี้ กลับมีความยุ่งยสกมากขึ้นในการที่จะแก้ไขให้ลุล่วงผ่านไปได้

logoline