ทรัมป์เซ็นคำสั่งพิเศษเมื่อบ่ายวันจันทร์ ให้ USTR ตรวจสอบการค้าของจีน

ขณะที่มาตรการกดดันจีนเร่งจัดการต่อเกาหลีเหนือในการเตรียมยิงขีปนาวุธนิวเคลียร์ไปยังเกาะกวมในช่วงกลางเดือนสิงหาคมเริ่มส่งผลในทางปฏิบัติ เมื่อจีนแบนการนำเข้าถ่านหิน เหล็ก แร่เหล็ก ตะกั่ว และอาหารทะเล จากเกาหลีเหนือ ตามมติคว่ำบาตรเกาหลีเหนือครั้งใหม่ของ UNSC โดยมีผลเริ่มตั้งแต่เที่ยงคืนของวันที่ 5 กันยายนนี้

ช๊อค! ยูเครนผลิตเครื่องยนต์จรวดนิวเคลียร์ให้เกาหลีเหนือ โดยนิวยอร์กไทม์รายงานข่าวดังกล่าวระบุว่าเกาหลีเหนือมีการติดต่อซื้อขายอุปกรณ์ชิ้นเครื่องยนต์จรวดนิวเคลียร์ในตลาดมืดจากโรงงานที่เป็นแหล่งผลิตในยูเครนมาตั้งแต่ปี 2014 ซึ่งเป็นจรวดนิวเคลียร์ที่มีการยิงทดสอบไป 2 ครั้งในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา โดยลูกแรกเป็นจรวดนิวเคลียร์ที่ขับเคลื่อนไปไกลถึงอลาสกา และลูกที่สองยังสามารถบินข้ามไปยังฝั่งตะวันตกของสหรัฐจนถึงรัฐชิคาโกหรือเดนเวอร์
1.ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ลงนามในคำสั่งพิเศษ หรือ Executive Order เมื่อบ่ายวันจันทร์ สั่งการให้โรเบิร์ต ไลท์ไทเซอร์ ผู้แทนการค้าสหรัฐ (USTR) ทำการตรวจสอบการค้าของจีน ด้านนวัตกรรม และเทคโนโลยี รวมถึงทรัพย์สินทางปัญญา

ทั้งนี้ ขอบข่ายการตรวจสอบในครั้งนี้จะครอบคลุมถึงกฎหมายการค้า นโยบายทางการค้า แนวทางปฏิบัติ และการกระทำของจีน ว่าเข้าข่ายกีดกันและส่งผลกระทบต่อทรัพย์สินทางปัญญา ด้านนวัตกรรม และการถ่ายทอดเทคโนโลยีของสหรัฐ หรือไม่ โดยเป็นที่คาดการณ์ว่า ทรัมป์ยังต้องการจะบีบบังคับจีนกดดันเกาหลีเหนือให้ยุติการยิงจรวดนิวเคลียร์สู่เป้าหมายฐานทัพสหรัฐบนเกาะกวม ที่กำลังท้าทายสหรัฐ และกลายเป็นปัญหาความตึงเครียดบนคาบสมุทรเกาหลีอยู่ในขณะนี้
ขณะที่ประธานาธิบดีทรัมป์เรียกคำสั่งบริหารของเขาในครั้งนี้ว่า "This Is Just The Beginning" ท่ามกลางหลายฝ่ายได้แสดงความกังวลว่าอาจจะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างจีนและสหรัฐ โดยเฉพาะ China Daily ระบุว่ารัฐบาลปักกิ่งแสดงอาการกร้าวใส่ก่อนหน้าการเซ็นคำสั่งของทรัมป์ว่า จะทำให้เกิดความรุนแรงจนเป็นผลกระทบที่เลวร้ายต่อระบบเศรษฐกิจ

หลังจากที่ประธานาธิบดีทรัมป์ ได้เคยกล่าวหาจีนจากการให้สัมภาษณ์อ้างสหรัฐขาดดุลการค้าจำนวนมหาศาลถึง 8 แสนล้านดอลลาร์ในปี 2016 โดยเป็นการทุ่มขายสินค้าจากจีนสู่ตลาดในสหรัฐ 7.34 แสนล้านดอลลาร์ ซึ่งพบว่า จีนเป็นอันดับหนึ่งที่มีการเกินดุลการค้ากับสหรัฐถึง 3.47 แสนล้านดอลลาร์ รองลงมาเป็นญี่ปุ่น 6.9 หมื่นล้านดอลลาร์ อันดับสามเป็นเยอรมัน 6.5 หมื่นล้านดอลลาร์ เม็กศิโกเป็นอันดับสี่ 8,3 หมื่นล่นดอลลาร์ ไอร์แลนด์ 3.6 หมื่นล้านดอลลาร์ และเวียดนาม 3.2 หมื่นล้านดอลลาร์

2. สำหรับผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการประเมินของนักวิเคราะห์การค้าเชื่อว่า คำสั่งของทรัมป์นอกจากจะไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาแต่จะซ้ำเติมการค้าระหว่างสหรัฐและจีนที่มีมากกว่าครึ่งล้านล้านดอลลาร์ในแต่ละปีอีกด้วย เช่น ผลกระทบที่มีต่อยอดขายของ Apple Inc ในจีนจะถูกจำกัดมากขึ้น สินค้าเกษตรที่สหรัฐได้ดุลถึง 1.7 หมื่นล้านดอลลาร์ โดยเฉพาะสินค้าจำพวกถั่วเหลืองที่ส่งไปยังจีนซึ่งสหรัฐไดดุลถึง 8 พันล้านดอลลาร์ก็จะถูกกระทบมากขึ้น แม้แต่ชิ้นส่วนอุปกรณ์ของเครื่องบินที่มีการสั่งนำเข้าจากจีน
ขณะที่สินค้าอุตสาหกรรมขั้นกลางที่เป็นผลผลิตจากจีนก็จะถูกกระทบด้านลบ รวมทั้งธุรกิจค้าปลีกอย่าง Wal-mart ที่สั่งนำเข้าสินค้าราคาถูกที่เป็นความต้องการของผู้บริโภคสหรัฐกับสินค้าจำพวกเครื่องใช้ไฟฟ้า เสื้อผ้า และเฟอร์นิเจอร์

3. มาตรการกดดันจีนเร่งจัดการต่อเกาหลีเหนือในการเตรียมยิงขีปนาวุธนิวเคลียร์ไปยังเกาะกวมในช่วงกลางเดือนสิงหาคมเริ่มส่งผลในทางปฏิบัติ เมื่อจีนแบนการนำเข้าถ่านหิน เหล็ก แร่เหล็ก ตะกั่ว และอาหารทะเล จากเกาหลีเหนือ ตามมติคว่ำบาตรเกาหลีเหนือครั้งใหม่ของ UNSC โดยมีผลเริ่มตั้งแต่เที่ยงคืนของวันที่ 5 กันยายนนี้ แต่ก่อนถึงช่วงเวลาดังกล่าว สินค้าของเกาหลีเหนือซึ่งอยู่ที่ท่าเรือยังคงสามารถนำเข้าจีนได้

โดยกระทรวงพาณิชย์จีนออกคำสั่งให้มีการปฏิบัติตามมติของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) เมื่อวันจันทร์ ในการคว่ำบาตรเกาหลีเหนือ โดยห้ามการนำเข้าสินค้าดังกล่าว หลังจากที่ UNSC มีมติเป็นเอกฉันท์ทั้ง 15 ชาติเมื่อวันที่ 5 สิงหาคมในการคว่ำบาตรเกาหลีเหนือ ให้ลดการส่งออกลง 1 ใน 3 จากมูลค่ารายได้ปีละ 3 พันล้านดอลลาร์ เพื่อตอบโต้ต่อการที่เกาหลีเหนือทำการทดลองขีปนาวุธข้ามทวีป (ICBM) 2 ครั้งในเดือนกรกฎาคม
นอกจากการคว่ำบาตรการส่งออกจากเกาหลีเหนือแล้ว ยังอาจมีการห้ามไม่ให้มีการลงทุนร่วมกับเกาหลีเหนือ รวมถึงห้ามการลงทุนใหม่ในบริษัทที่มีการลงทุนกับเกาหลีเหนือในปัจจุบัน


4. เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา จากรายงานของสำนักข่าวกลางเกาหลีเหนือ (KCNA) ระบุว่าประธานาธิบดีคิม จองอึน ได้ใช้เวลาที่ยาวนานตลอดทั้งวันกับการรับฟังรายของกองทัพในการซักซ้อมแผนการยิงจรวดนิวเคลียร์ลูกใหม่ ซึ่งผู้นำเกาหลีเหนือเรียกร้องให้ทำเป็นยุทธศาสตร์ในการใช้กองกำลัง อย่างไรก็ตาม ผู้นำเกาหลีเหนือยังไม่ได้มีการตัดสินใจเรื่องดังกล่าวในขณะนี้
ขณะที่พลเอกโจเซฟ ดันฟอร์ด ประธานคณะเสนาธิการร่วมสหรัฐยืนยันใช้ปฏิบัติการทางทหารเป็นทางเลือกสุดท้าย ได้เตรียมพร้อมไว้แล้วในการจัดการปัญหาการทดลองขีปนาวุธ และอาวุธนิวเคลียร์กับเกาหลีเหนือ ขณะที่อยู่ในระหว่างเดินทางเยือนเกาหลีใต้ และได้พบปะกับประธานาธิบดีมูน แจอิน ของเกาหลีใต้เมื่อวันจันทร์ ย้ำถึงการที่สหรัฐจะยังคงให้การปรึกษาและร่วมมือกับเกาหลีใต้อย่างใกล้ชิดตามข้อตกลง THAAD เกี่ยวกับการใช้มาตรการด้านการทหารตอบโต้เกาหลีเหนือ
พร้อมกับระบุว่าขณะนี้สหรัฐกำลังเตรียมปฏิบัติการทางทหารต่อเกาหลีเหนือ ซึ่งจะมีการใช้ทางเลือกนี้ หากมาตรการทางเลือกอื่น ทั้งการใช้นโยบายทางการทูต และการใช้มาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจ ประสบความล้มเหลว โดยยังคงหวังว่าจะทำให้เกาหลีเหนือเปลี่ยนแปลงการตัดสินใจท่ามกลางวิกฤตการณ์ในขณะนี้ เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงการเกิดสงครามในคาบสมุทรเกาหลี
ทั้งนี้ ประธานคณะเสนาธิการร่วมสหรัฐจะมีการเยือนจีน และญี่ปุ่นต่อไปในสัปดาห์นี้ด้วย
ด้วยบรรยายที่คลี่คลายความตึงเครียดซึ่งนักลงทุนัชื่อว่า สงครามยิวเคลียร์จะไม่เกิดขึ้นในสัปดาห์นี้ ทำให้มีแรงซื้อหุ้นสหรัฐเพิ่มขึ้นเล็กน้อย แต่ยังคงส่งผลดาวโจนส์พุ่งขึ้นมากกว่า 135 จุดหรือ 0.62% ปิดที่ 21,993 ย่อตัวลงหลังจากช่วงต้นตลาดทะลุระดับ 22,000 ก็ตาม ขณะที่ S&P500 ปิดที่ 2,465 เพิ่มขึ้น 1.0% และ Nasdaq ปิดบวก 1.34% ที่ 6,340

5. ช๊อค! ยูเครนผลิตเครื่องยนต์จรวดนิวเคลียร์ให้เกาหลีเหนือ โดยนิวยอร์กไทม์รายงานข่าวดังกล่าวระบุว่าเกาหลีเหนือมีการติดต่อซื้อขายอุปกรณ์เครื่องยนต์จรวดนิวเคลียร์ในตลาดมืดจากโรงงานที่เป็นแหล่งผลิตในยูเครนมาตั้งแต่ปี 2014 ซึ่งเป็นจรวดนิวเคลียร์ที่มีการยิงทดสอบไป 2 ครั้งในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา โดยลูกแรกเป็นจรวดนิวเคลียร์ที่ขับเคลื่อนไปไกลถึงอลาสกา ซึ่งเป็นนิวเคลียร์มีชื่อว่า Hwasong-14 และลูกที่สองยังสามารถบินข้ามไปยังฝั่งตะวันตกของสหรัฐ จนถึงรัฐชิคาโกหรือเดนเวอร์ได้
นอกจากนี้ ยังมี Hwasong-12 ซึ่งเป็นจรวดนิวเคลียร์ลูกใหม่ที่เกาหลีเหนือสามารถยิงจากฐานบนภาคพื้นดินที่มีศักยภาพบินไปได้ไกล 2,800 ไมล์ จนถึงฐานทัพสหรัฐบนเกาะกวมได้
ทั้งนี้ เป็นที่น่าสังเดตว่า ในปี 2014 ที่ยูเครนเป็นแหล่งผลิตจรวดนืวเคลียร์ให้เกาหลีเหนือนั้น เป็นช่วงเวลาที่รัฐบาลสหรัฐในยุคของประธานาธิบดีบารัก โอบามา ได้ช่วยให้กลุ่มกองกำลังรักชาติยูเครนให้ทำการรัฐประหารยึดอำนาจจากรัฐบาลที่ได้รับการสนับสนุนจากรัสเซีย