นายประสาท ตงศิริ นักธุรกิจชาวจ.สกลนคร และอดีตประธานหอการค้าจังหวัดสกลนคร ประเมินสถานการณ์ความเสียหายทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นกับจังหวัดสกลนครในสถานการณ์น้ำท่วมที่ผ่านมาว่า หนักที่สุดในรอบ 43 ปี เพราะก่อนหน้านี้จังหวัดสกลนครเคยประสบปัญหาน้ำท่วมใหญ่เมื่อปี 2517 มาแล้ว แต่ปริมาณฝนไม่มากเท่าครั้งนี้ ปีนั้นปริมาณฝนอยู่ที่ประมาณ 300 มิลลิลิตร แต่ปีนี้หนักกว่า ประเมินความเสียหายเบื้องต้นอยู่ที่ไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบาท แต่อาจจะมากกว่านั้นเพราะศูนย์กลางเศรษฐกิจของเมืองเสียหายทั้งหมด ทั้งรถรา ร้านรวง โรงแรม ที่พักอาศัย เสียหายทั้งหมด
"เหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่เมืองสกลนคร เคยเกิดขึ้นเมื่อปี 2517แต่ปริมาณฝนไม่มากเท่าปีนี้ และความเสียหายไม่มากเท่าเนื่องจากน้ำสามารถระบายได้อย่างรวดเร็วและไม่ท่วมขังแต่ปีนี้น้ำระบายไม่ได้เลย มีการก่อสร้างกีดขวางทางน้ำน้ำลอดสะพาน ลอดท่อไม่ได้ ฝนตกหนักต่อเนื่องกันตั้งแต่วันที่ 26 ก.ค.และหนักสุดวันที่ 27 ก.ค. จนกระทั่งทะลักเข้าท่วมเมืองวันที่ 28 ก.ค.เรียกว่าแค่ 3 วันน้ำมาเร็วมาก ไม่สามารถต้านทานได้ บึงหนองหานเคยรองรับน้ำแต่ไม่สามารถรับได้ต่อไป เพราะหนองหานเคยระบายน้ำลงลำห้วยก่ำและลงน้ำโขงแต่พอน้ำโขงมีน้ำหนุนการระบายช้า น้ำจึงทะลักเข้าท่วมเมืองและคาดว่าน่าจะใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 2 สัปดาห์ในการแก้ไขปัญหา"นายประสาท กล่าว
เขายังกล่าวอีกว่า เมืองสกลนคกำลังพัฒนา พอเจอปัญหาแบบนี้ตอนนี้แบ่งเป็น 2 ของความรู้สึกคือ เสียใจที่การเตรียมรับไม่ดีพอ การเตรียมพร้อมระดับประเทศไม่ดีพอ เป็นแบบนี้มานานแล้ว เสียดายอย่างที่ 2 คือเสียดายว่าเมืองสกลนครไม่เคยน้ำท่วมขนาดนี้มานานแล้ว และเมืองค่อยๆโต หลัง 2-3 ปีนี้มานี้เศรษฐกิจไม่ดีอย่างต่อเนื่องและมาเจอวิกฤติซ้ำอีก ทำให้อาจจะต้องหนักไปอีกหลายปีกว่าจะฟื้นตัวได้เพราะต้องใช้เงินซ่อมแซม ปรับปรุง ก่อสร้างกันใหม่อีกหลายปีกว่าจะกลับมาฟื้นตัวกันได้อีกครั้ง
ส่วนการแก้ไขปัญหาอย่างยั่่งยืน เขาระบุว่า จะต้องมีการนั่งคุยกันเพื่อแก้ไขปัญหาร่วมกันทุกภาคส่วน ไม่ใช่ให้แต่ภาครัฐนั่งคุยกันบนโต๊ะแล้วจบ แต่ควรให้ภาคเอกชน ประชาชน พ่อค้า นักธุรกิจในเมืองไปร่วมกันแก้ไขปัญหาด้วย เพราะส่วนใหญ่ หัวหน้าส่วนราชการที่มาอยู่ที่นี่ ไม่ใช่คนในพื้นที่ เป็นคนนอกพื้ืนที่ทั้งสิ้น ไม่รู้ปัญหา ไม่รู้วิธีการอย่างแท้ัจริง รัฐควรเปิดโอกาสให้ภาคเอกชนเข้าไปร่วมแก้ไขปัญหา นอกจากนั้นการเข้ามาก่อสร้างห้างสรรพสินค้าในพืื้นที่่หลายแห่งมีการก่อสร้างวขวางทางน้ำทำให้น้ำไหลไม่ได้ โดยเฉพาะลำห้วยทรายที่เคยไหลสะดวก น้ำไหลไปได้แต่พอมาก่อสร้างขวางทางน้ำทำให้กลายเป็นคูกั้นน้ำน้ำก็ทะลักเข้าท่วมเมือง