svasdssvasds
เนชั่นทีวี

เศรษฐกิจ

Nasdaq พุ่งทำสถิติสูงสุดทะลุ 6,410 ท่ามกลางเดิมพันของนักลงทุน

25 กรกฎาคม 2560
เกาะติดข่าวสาร >> Nation Story
logoline

Nasdaq พุ่งทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ทะลุ 6,410 ท่ามกลางเดิมพันของนักลงทุน โดยพบว่าหุ้นเทคโนโลยี FANG ที่ประกอบด้วย Facebook, Apple, Amazon, Netflix และ Google พุ่งขึ้นถึง 15% ในช่วงเวลาเทรดเพียง 12 วัน อย่างไรก็ตาม ราคาหุ้น Google กลับทิ้งตัวอ่อนลงในช่วงก่อนปิดตลาดติดลบ 2.7% หลุดจากระดับ 1,000 ดอลลาร์ หลังภาพผลประกอบการครึ่งปีแรกของ Google ออกมาผสมผสานกันมีทั้งกำไรและชาดทุน

ขณะที่ดัชนีดาวโจนส์และ S&P500 ปิดตลาดติดลบ นำโดยการดิ่งลงของหุ้นกลุ่มธุรกิจดูแลสุขภาพ ธุรกิจค้าปลีก และกลุ่มการเงิน รวมทั้งหุ้นโกลด์แมน แซคส์ ร่วงลงมากที่สุดในการซื้อขายช่วงต้นชั่วโมงซื้อขาย หลังจากที่ UBS ปรับลดน้ำหนักความน่าลงทุน จากผลประกอบการที่น่าผิดหวังในไตรมาส 2 ท่ามกลางทิศทางค่าเงินดอลลาร์ที่เริ่มทรงตัวหลังร่วงลงในรอบ 15 เดือน นอกจากนี้ นักลงทุนยังจับตาการประชุมของเฟดในวันที่ 25-26 กรกฎาคมนี้ ซึ่งคาดการณ์ว่าจะมีมติคงอัตราดอกเบี้ยในการประชุมครั้งนี้ แต่จะปรับขึ้นอีกครั้ง 0.25% ในเดือนธันวาคม หลังจากเริ่มดำเนินการปรับลดงบดุลในเดือนกันยายนนี้

โดยที่นักลงทุนยังจับตาปัจจัยการเมืองในสหรัฐที่มีความไม่แน่นอน หลังจากที่บุตรเขยของประธานาธิบดีทรัมป์เข้ากล่าวคำให้การต่อวุฒิสถาเมื่อวันจันทร์ปฏิเสธทุกข้อกล่าวหาสมันพันธ์ใกล้ชิดรัสเซียแทรกแซงการเลือกตั้งปีที่แล้ว ยืนยันที่ผ่านมามีการติดต่อกับทางรัสเซียเพียง 4 ครั้งแต่ไม่มีนัยทางการเมือง แต่ยังต้องรอการสอบสวนสืบสวนของเอฟบีไอและสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐในรอบต่อไป

ขณะเดียวกับที่ IMF ได้ปรับลดคาดการณ์เศรษฐกิจสหรัฐลง 0.2% สู่ระดับ 2.1% ใน 2017 และปรับลดลง 0.4% สู่ระดับ 2.1% .ในปี 2018 ระบุมาจากปัจจัยความไม่แน่นอนในการดำเนินนโยบายการคลังกระตุ้นเศรษฐกิจและแผนการปฏิรูปภาษีของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ยังไม่สามารถผลักดันให้ผ่านสภาคองเกรส

1.Nasdaq พุ่งทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ทะลุปิดที่ 6,410 ท่ามกลางเดิมพันของนักลงทุน เพิ่มขึ้น 23 จุด หรือ 0.36% สวนทางกับดัชนีดาวโจนส์ และ S&P500 ปิดตลาดติดลบที่ระดับ 21,513 และ 2,469 ตามลำดับ นำโดยการดิ่งลงของหุ้นกลุ่มธุรกิจดูแลสุขภาพ ธุรกิจค้าปลีก และกลุ่มการเงิน รวมทั้งหุ้นโกลด์แมน แซคส์ ร่วงลงมากที่สุดในการซื้อขายช่วงต้นชั่วโมงซื้อขาย หลังจากที่ UBS ปรับลดน้ำหนักความน่าลงทุนมาอยู่ที่ระดับ neutral หลังจากผลประกอบการที่น่าผิดหวังในไตรมาส 2 จากวอลุ่มเทรดตราสารการเงินที่ลดลงถึง 40%
โดยพบว่าหุ้นเทคโนโลยี FANG ที่ประกอบด้วย Facebook, Apple, Amazon, Netflix และ Google พุ่งขึ้นถึง 15% ในช่วงเวลาเทรดเพียง 12 วัน อย่างไรก็ตาม ราคาหุ้น Google กลับถูกทิ้งตัวอ่อนยวบลงในช่วงนาทีสุดท้ายก่อนปิดตลาดติดลบ 2.7% หลุดจากระดับ 1,000 ดอลลาร์ หลังภาพผลประกอบการครึ่งปีแรกของ Google ออกมาผสมผสานกันมีทั้งกำไรและชาดทุน
ทั้งนี้ กูเกิลแถลงผลการดำเนินงานในช่วงไตรมาส 2 ปีนี้ มีกำไรต่อหุ้นที่ 5.01 ดอลลาร์จากที่คาดการณ์ 4.45 ดอลลาร์ หลังหักเงินค่าปรับที่ต้องจ่ายให้กับสหภาพยุโรปจำนวน 2.7 พันล้านดอลลาร์แล้ว ขณะที่รายได้รวมอยู่ที่ 2.601 หมื่นล้านดอลลาร์เพื่ม 21% จากระยะเดียวกันปีก่อนที่ 2.564 หมื่นล้านดอลลาร์ แต่ตัวเลขในครึ่งปีแรกที่ออกมาเกิดความสับสน โดยที่มีรายได้จากค่าโฆษณาถึง 2.267 หมื่นล้านดอลลาร์ แต่มีการขาดทุนจากการดำเนินงาน 772 ล้านดอลลาร์ ส่งผลให้นักลงทุนมีการขายหุ้นในช่วงท้ายตตลาด


2.แต่นักลงทุนยังจับตาการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในวันที่ 25-26 กรกฎาคมนี้ ซึ่งคาดการณ์ว่าจะมีมติคงอัตราดอกเบี้ยในการประชุมครั้งนี้ แต่จะปรับขึ้นอีกครั้ง 0.25% ในเดือนธันวาคม หลังจากเริ่มดำเนินการปรับลดงบดุลในเดือนกันยายนนี้ โดยจะเริ่มทยอยขายบอนด์และตราสารการเงินที่ถืออยู่ออกมา ส่งผลให้เม็ดเงิน QE ลดลงเดือนละ 1 หมื่นล้านดอลลาร์ สู่เป้าหมาย QE ลดลงที่ 2-2.5 ล้านล้านดอลลาร์จากภาระทั้งหมด 4.5 ล้านล้านดอลลาร์ เพื่อเข้าสู่ภาวะที่เป็น Normalization ของเฟดในอนาคต
นักลงทุนยังจับตาปัจจัยการเมืองในสหรัฐที่มีความไม่แน่นอน หลังจากที่ Jared Kushner บุตรเขยของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เข้ากล่าวคำให้การต่อวุฒิสถาเมื่อวันจันทร์ ได้ปฏิเสธทุกข้อกล่าวหาสมันพันธ์ใกล้ชิดรัสเซียแทรกแซงการเลือกตั้งปีที่แล้ว ยืนยันที่ผ่านมามีการติดต่อกับทางรัสเซียเพียง 4 ครั้งแต่ไม่มีนัยทางการเมือง แต่ยังต้องรอการสอบสวนสืบสวนของเอฟบีไอและสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐในขั้นตอนต่อไป รวมทั้งยังเกิดกรณีที่ฌอน สไปเซอร์ โฆษกทำเนียบขาว ประกาศลาออกจากตำแหน่ง


3.ขณะเดียวกัน กองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ IMF ได้ปรับลดคาดการณ์เศรษฐกิจสหรัฐลง 0.2% สู่ระดับ 2.1% ใน 2017 และปรับลดลง 0.4% สู่ระดับ 2.1% ในปี 2018 โดยระบุว่ามาจากปัจจัยความไม่แน่นอนของแผนการใช้จ่ายเงินทางการคลังของรัฐบาลเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิต และการปฏิรูปภาษีของประธานาธิบดีทรัมป์ ยังไม่สามารถผลักดันให้ผ่านสภาคองเกรส
ในทิศทางตรงข้าม IMF ได้ปรับเพิ่มคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจจีนในปี 2017 เพิ่มขึ้น 0.1% ที่ 6.7% และปี 2018 ปรับขึ้น 0.2% ที่ 6.4% โดยระบุถึงการคาดการณ์ที่ว่า จีนจะยังคงรักษาระดับการลงทุนระดับสูงในภาครัฐไว้ได้ และจะเลื่อนการปรับเปลี่ยนนโยบายการคลังออกไป เพื่อให้จีนสามารถบรรลุเป้าหมายการผลักดันเศรษฐกิจภายในประเทศ (จีดีพี) ให้ขยายตัวอย่างมั่นคงจนถึงปี 2020


4.พร้อมกันนี้ IMF ได้ปรับเพิ่มคาดการณ์การขยายตัวของ 5 ชาติในกลุ่มอาเซียน คือ ไทย อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม เพิ่มขึ้น 0.1% สู่ระดับ 5.1% ในปี 2017 ส่วนปี 2018 คงไว้ที่ระดับ 5.2% ขณะที่อัตราการเติบโตของประเทศกำลังพัฒนาในตลาดเกิดใหม่เอเชียในภาพรวมอยู่ที่ 6.5% ทั้งในปี 2017 และ 2018
โดยที่ IMF ได้คงคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจโลกในปี 2017 และปี 2018 ที่ระดับ 3.5% และ 3.6% ตามลำดับ โดยชี้ว่า เศรษฐกิจโลกยังคงอยู่ในภาวะฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง ขณะที่มีการปรับเพิ่มคาดการณ์การขยายตัวทางเศรษฐกิจของญี่ปุ่นในปี 2017 เพิ่มขึ้น 0.1% ที่ 1.3% เนื่องจากเศรษฐกิจในไตรมาสแรกมีการขยายตัวได้ดี โดยได้แรงหนุนจากการใช้จ่ายส่วนบุคคล การลงทุน และการส่งออก และปี 2018 ทรงตัวที่ 0.6% สำหรับเศรษฐกิจยูโรโซนนั้นปรับขึ้น 0.2% ที่ 1.9% ในปีนี้ และปรับเพิ่มการขยายตัวของเศรษฐกิจในปีหน้าขึ้น 0.1% ที่ 1.7% เนื่องจากอุปสงค์ภายในประเทศของกลุ่มยูโรโซนมีการขยายตัวที่ดีกว่าคาดการณ์ รวมทั้งปัจจัยความเสี่ยงในบรรยากาศทางการเมืองของประเทศในยุโรปที่ลดลง

5.อย่างไรก็ตาม IMF ยังคงมองว่า ปัจจัยเสี่ยงใหญ่ในกลุ่มประเทศัฒนาแล้วคือ การดำเนินนยบายการเงินของบรรดาธนาคารกลางในประเทศดังกล่าวที่พยายามจะเข้าสู่ภาวะ Normalization เกิดขึ้นรสดเร็วกว่าที่ตาดการณ์ไว้ ซึ่งจะทำให้เกิดภาวะทางการเงินที่ตึงตัวมากขึ้นในตลาดการเงินโลก และเกิดจุดเสี่ยงต่อการโยกย้ายของกระแสเงินทุนในกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่
ทั้งนี้ มีการประเมินล่าสุดว่า เม็ดเงิน QE (Quantitative Easing) ที่เป็นการอัดฉีดเม็ดเงินจากนโยบายผ่อนคลายทางการเงินเชิงปริมาณมีวงเงินมหาศาลถึง 18.8 ล้านล้านดอลลาร์ ที่ออกมาจากธนาคารกลางสหรัฐ ธนาคารกลางยุโรป ธนาคารกลางอังกฤษ และธนาคารกลางญี่ปุ่น นอกจากนี้ยังรวมถึงการอัดฉีดเงินของธนาคารกลางจีน เพื่อปกป้องวิกฤติในตลาดหุ้นและการรักษาเสถียรภาพของเงินหยวน

logoline