svasdssvasds
เนชั่นทีวี

เศรษฐกิจ

ECB เผยฐานะล่าสุด อัดฉีด QE พุ่ง 4.69 ล้านล้านดอลลาร์ ขนาดใหญ่เท่าจีดีพีญี่ปุ่นแซงหน้าเฟดไปแล้ว

19 กรกฎาคม 2560
เกาะติดข่าวสาร >> Nation Story
logoline

ECB เผยฐานะอัดฉีดเงิน QE ล่าสุดมีขนาดใหญ่เท่ากับจีดีพีของญี่ปุ่น และแซงหน้าเฟดไปแล้ว เป็นวงเงินกว่า 4.23 ล้านล้านยูโร หรือ 4.69 ล้านล้านดอลลาร์ นักลงทุนจับตา 3 ธนาคารกลางใหญ่ของโลกร่วมประชุมประจำปี 2017 ของเฟดที่แจ๊คสันโฮลส์ในช่วงกลางเดือนสิงหาคมนี้ เพื่อถกทิศทางจัดการ QE ที่ท่วมตลาดการเงินโลก 14 ล้านล้านดอลลาร์ หลังเฟดประกาศนโยบายลดงบดุลกดดันทั้ง ECB และ BOJ ต้องเร่งทบทวนมาตรการผ่อนคลายทางการเงิน

ขณะที่สหรัฐเผยดัชนีราคานำเข้าเดือนมิถุนายนร่วงเป็นเดือนที่ 2 บ่งชี้แนวโน้มเงินเฟ้อลดต่ำลง ตลาดคาดหวังเป็นปัจจัยหนุนการชะลอขึ้นดอกเบี้ยของเฟดในช่วงครึ่งปีหลัง โดยที่กระทรวงแรงงานเผยดัชนีราคานำเข้ารายเดือนร่วงลง 0.2% ต่อเนื่องจากเดือนพฤษภาคมที่ลดลง 0.1%

ส่วนความพยายามผลักดันร่างกฎหมายประกันสุขภาพ หรือ TrumpCare ล้มเหลว หลังถูกคว่ำจากวุฒิสภาสหรัฐในคีนวันอังคารที่ผ่านมา เมื่อสมาชิกพรรครีพับลิกันเทเสียงโหวตให้พรรคเดโมแครต ท่ามกลางคะแนนนิยมของทรัมป์ล่าสุด ลดลงเหลือแค่ 36% ต่ำที่สุดในบรรดาประธานาธิบดีสหรัฐ เนื่องจากความกังวลว่าจะส่งผลกระทบต่อการออกกฎหมายปฏิรูปภาษี จนกระทั่งกระทบต่อความพยายามในการผลักดันมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ

1.ธนาคารกลางยุโรป (ECB) เปิดเผยฐานะในการดำเนินนโยบายผ่อนคลายทางการเงินเชิงปริมาณ หรือ QE (Quantitative Easing) ล่าสุด พุ่งขึ้นเป็นอันดับหนึ่งแซงหน้าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ไปแล้ว คิดเป็นวงเงินสูงถึง 4.23 ล้านล้านยูโร หรือราว 4.69 ล้านล้านดอลลาร์ ส่วนเฟดนั้นมีการอัดฉีดเงิน QE ในวงเงิน 4.5 ล้านล้านดอลลาร์
ทั้งนี้ สัดส่วน QE ของ ECB ดังกล่าวมีขนาดใหญ่เท่าๆ กับจีดีพีของญี่ปุ่นซึ่งอยู่ที่ 4.3 ล้านล้านยูโร โดยเป็นผลมาจากการอัดฉีดเงิน QE ของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) เป็นวงเงินถึง 4.47 ล้านล้านดอลลาร์
ดังนั้น เม็ดเงิน QE รวมกันของ 3 ธนาคารกลางยักษ์ใหญ่ที่ท่วมตลาดการเงินโลกมีจำนวนสูงถึง 14 ล้านล้านดอลลาร์ กลายเป็นโจทย์สำคัญในการประชุมประจำปีของเฟด ที่จะมีขึ้นที่แจ๊คสันโฮลส์ ในช่วงกลางเดือนสิงหาคมนี้ ถึงการจัดการกับทิศทางของ QE ในอนาคต โดยเฉพาะมาตรการ QE ของ ECB และ BOJ หลังจากที่เฟดประกาศเป้าหมายสู้ Normalization ที่มีการปรับขึ้นดอกเบี้ยมาจั้งแต่เดือนธันวาคม 2015 และลดภาระงบดุลสู่เป้าหมายที่ 2-2.5 ล้านล้านดอลลาร์ ที่คาดว่าเฟดจะเริ่มดำเนินการในเดือนกันยายนนี้
ส่วนการคาดหมายของ ECB นั้น อาจจะมีคำประกาศจากมาริโอ ดรากี เกี่ยวกับกับนโยบาย QE ที่จะปรับลดลงในช่วงต้นปี 2018 ตรงข้ามกับ BOJ จะยังคงอัดฉีด QE ต่อไป เนื่องจากต้องอุ้มรัฐบาลของชินโซ อาเบะ ที่มีคะแนนนิยมจากชาวญี่ปุ่นลดต่ำลงเรื่อยๆ โดยมีความเป็นไปได้ว่า จะมีการยุบสภาเพื่อเลือกตั้งใหม่ ก่อนที่จะมีการเลือกตั้งทั่วไปจะมีขึ้นในเดือนกันยายน 2018

2.ขณะที่สหรัฐเผยดัชนีราคานำเข้าเดือนมิถุนายนร่วงเป็นเดือนที่ 2 บ่งชี้แนวโน้มเงินเฟ้อลดต่ำลง ตลาดคาดหวังเป็นปัจจัยหนุนการชะลอขึ้นดอกเบี้ยของเฟดในช่วงครึ่งปีหลัง โดยที่กระทรวงแรงงานเผยดัชนีราคานำเข้ารายเดือนร่วงลง 0.2% ต่อเนื่องจากเดือนพฤษภาคมที่ลดลง 0.1%
ทั้งนี้การร่วงลงของดัชนีราคานำเข้าเป็นการบ่งชี้ว่าแรงกดดันจากเงินเฟ้อยังคงอยู่ในระดับต่ำ ซึ่งจะส่งผลให้เฟดชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ถึงแม้ว่า เมื่อเทียบเป็นรายปี ดัชนีราคานำเข้าเพิ่มขึ้น 1.5% ในเดือนมิถุนายน แต่เป็นการเพิ่มขึ้นต่ำที่สุดนับตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนปีก่อน หลังจากมีการปรับตัวขึ้น 2.3% ในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา
ส่วนดัชนีราคาส่งออกลดลง 0.2% ในเดือนมิถุนายน เมื่อเทียบรายเดือน และปรับตัวขึ้น 0.6% เมื่อเทียบรายปี

3.ส่วนความพยายามผลักดันร่างกฎหมายประกันสุขภาพ หรือ TrumpCare ล้มเหลว หลังถูกคว่ำจากวุฒิสภาสหรัฐในคีนวันอังคารที่ผ่านมา เมื่อสมาชิกพรรครีพับลิกันเทเสียงโหวตให้พรรคเดโมแครต ท่ามกลางคะแนนนิยมของทรัมป์ล่าสุด ลดลงเหลือแค่ 36% ซึ่งเป็นคะแนนนิยมของประธานาธิบดีสหรัฐที่ต่ำที่สุดในรอบ 70 ปี จากการสำรวจซึ่งจัดทำโดยสำนักข่าวเอบีซี นิวส์ และหนังสือพิมพ์วอชิงตัน โพสต์
โดยที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ทวีตข้อความแสดงความไม่พอใจต่อการที่พรรคเดโมแครต และสมาชิกพรรครีพับลิกันบางคนไม่ให้การสนับสนุนการออกกฎหมายประกันสุขภาพฉบับใหม่ โดยระบุว่า สมาชิกพรรครีพับลิกันส่วนใหญ่มีความจงรักภักดี และทำงานหนัก แต่ก็ผิดหวังต่อสมาชิกพรรคเดโมแครตทุกคน และสมาชิกบางคนของพรรครีพับลิกัน เหมือนอย่างที่เคยพูดไว้ ให้เราคว่ำกฎหมายโอบามาแคร์ และร่วมกันออกกฎหมายประกันสุขภาพฉบับใหม่
ทั้งนี้ สมาชิกพรรครีพับลกันในวุฒิสภาที่เทเสียงโหวตร่วมกับพรรคเดโมเครตมีถึง 4 เสียง ทำให้ร่างกฎหมาย TrumpCare ต้องพ่ายแพ้ในที่สุด เนื่องจากวถฒิสมาชิกที่เป็นเสียงของรีพับลิกันมีอยู่ 52 เสียง และเป็นของพรรคเดโมแครต 48 เสียง

4.โกลด์แมน แซคส์ เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานในไตรมาส 2 ปีนี้มีรายได้ 7.89 พันล้านดอลลาร์ สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 7.52 พันล้านดอลลาร์ ท่ามกลางรายได้จากการซื้อขายตราสารหนี้ที่ลดลงถึง 40% ซึ่งเป็นการลดลงมากที่สุดก็ตาม ส่วนกำไรต่อหุ้นอยู่ที่ 3.95 ดอลลาร์ สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 3.39 ดอลลาร์ต่อหุ้น ส่งผลต่อราคาหุ้นร่วงลง
นอกจากนี้ แบงก์ ออฟ อเมริกา ซึ่งเป็นธนาคารใหญ่เป็นอันดับ 2 ของสหรัฐ มีการเปิดเผยรายได้ในช่วงเวลาเดียวกันที่ 2.283 หมื่นล้านดอลลาร์ สูงขึ้นเมื่อเทียบกับที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 2.178 หมื่นล้านดอลลาร์ และมีกำไร 46 เซนต์ต่อหุ้น สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 43 เซนต์ต่อหุ้น
แต่ก็ถูกกดดันจากการที่รายได้จากการซื้อขายหลักทรัพย์ที่ได้ลดลงมากถึง 14% ส่งผลราคาหุ้นของแบงก์ ออฟ อเมริกาได้ปรับตัวลงเช่นกัน

5.ในขณะที่ดาวโจนส์ร่วงไม่หยุด ทรุดกว่า 150 จุดในช่วงเปิดตลาด โดยมีหุ้นโกลด์แมน แซคส์ เป็นตัวนำทุบตลาดจากราคาที่ดิ่งลง รวมทั้งนักลงทุนกังวลว่า ความล่าช้าของการออกกฎหมายประกันสุขภาพฉบับใหม่จะส่งผลกระทบต่อการออกกฎหมายปฏิรูปภาษี รวมทั้งกระทบต่อความพยายามในการผลักดันมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของประธานาธิบดีทรัมป์ตามมาหลังจากที่กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยในวันนี้ว่า ดัชนีราคานำเข้าร่วงลงเป็นเดือนที่ 2 ทำให้นักลงทุนมรความหวังจะส่งผลต่อแนวโน้มเงินเฟ้อที่ลดต่ำลง จนหนุนให้เฟดชะลอการขึ้นดอกเบี้ยออกไปในช่วงครึ่งหลังของปีนี้
ดัชนีดาวโจนส์เปิดตลาดที่ 21,478 ร่วงลง 151 จุด หรือ 0.7% แต่ปิดตลาดฟื้นตัวดีขึ้นที่ 21,578 ลดลง 54 จุด หรือ 0.25%

logoline