ทำให้ผู้นำประเทศต่างๆ หลายประเทศได้หันมาให้ความสนใจ Big data และเห็นพ้องว่า Big data ควรถูกพิจารณาให้เป็นแผนระดับชาติ (National Big Data Plan)
แม้แต่ EU เองก็ยังไม่สามารถอยู่นิ่งเฉยกับ Big data โดยได้ออกแนวทางกำหนดยุทธศาสตร์ใหม่ในเดือนกรกฎาคม 2014 เกี่ยวกับ Big data
โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อสนับสนุนและเร่งการเปลี่ยนผ่านไปสู่ระบบเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล (Data-driven Economy)
ซึ่ง EU เชื่อว่า Big data จะทำให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศสมาชิก โดย EU จะพยายามสนับสนุนส่งเสริมให้นักวิจัยและผู้เชี่ยวชาญมุ่งทำการวิจัยและพัฒนาให้ผู้ประกอบการได้ใช้ศักยภาพจาก Big data มาเสริมสร้างเศรษฐกิจของประเทศสมาชิก EU ให้แข็งแกร่ง
ข้อมูลที่อยู่บนอินเทอร์เน็ตซึ่งมีจำนวนมหาศาล ประกอบไปด้วยข้อมูลหลากหลายเกินจินตนาการ
เช่น ข้อมูลสภาวะอากาศ ภาพถ่ายดาวเทียม ภาพถ่ายส่วนบุคคล ข้อมูลธุรกรรมทางการค้า ซึ่งข้อมูลที่หลากหลายเหล่านี้ หากเรานำมาแยกแยะ คัดกรองและเชื่อมโยงอย่างเป็นระบบ เราอาจจะพบกับศักยภาพอย่างน่ามหัศจรรย์ของมัน
ด้วยความรู้ใหม่ๆ ที่จะได้จากระบบเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลนั้นจะทำให้ธุรกิจ SMEs ขับเคลื่อนและเติบโตได้อย่างรวดเร็ว ด้วยการที่ SMEs ได้คนพบความรู้และโอกาสใหม่ๆ นั่นเอง
การวิจัยและพัฒนาอย่างรวดเร็วในสาขา Big data จะทำให้เกิดการเพิ่มศักยภาพในหลายภาคส่วนที่รัฐมีส่วนรับผิดชอบหลัก
เช่น ด้านสุขภาพ ด้านความปลอดภัยของอาหาร (food security) ด้านระบบคมนาคมอัจฉริยะ (intelligent transport systems) และด้านเมืองอัจฉริยะ (smart cities) ซึ่งรัฐควรมุ่งเน้นบทบาทในการสนับสนุนส่งเสริมการใช้ Big data ให้เกิดในทั้งภาครัฐและเอกชนในประเด็นดังต่อไปนี้
(1) มีบทบาทในการริเริ่มโครงการ Big data ที่เกี่ยวข้อง โดยทำหน้าที่เป็นแกนหลักในด้านคุณภาพการให้บริการสาธารณะและคุณภาพชีวิต
(2) พัฒนาศักยภาพด้านเทคโนโลยีที่เป็นโครงสร้างพื้นฐาน รวมไปถึงการสร้างความเชี่ยวชาญในการใช้เทคโนโลยี Big data แก่ SMEs
(3) สนับสนุนส่งเสริมให้เกิดการร่วมใช้และพัฒนา Big data ที่เป็นแหล่งข้อมูลเปิด (open data sources) และให้เกิดการวิจัยโครงการขนาดใหญ่
(4) มุ่งเน้นงานวิจัย Big data เพื่อสาธารณะเพื่อเสาะแสวงหาเทคโนโลยีและกฎหมายที่เหมาะสม รวมทั้งลดอุปสรรคที่เกิดจากรัฐเอง
(5) สร้างให้เกิดสิ่งแวดล้อมที่ทำให้เกิดการใช้งาน Big data ที่สะดวกและง่าย (Data-friendly environment) ด้วยนโยบายและกฎหมายที่เอื้ออำนวย
(6) สร้างกระบวนการการจัดการสาธารณะที่รวดเร็ว โดยตัดขั้นตอนที่ไม่จำเป็นออก และสร้างระบบบริการสาธารณะที่มีประสิทธิภาพด้วยการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล
อย่างไรก็ตามความท้าทายของหน่วยงานภาครัฐที่ต้องเผชิญในประเด็นแรกคือ รัฐจะบริหารจัดการเพื่อนำข้อมูลอันมหาศาลมาใช้ประโยชน์ได้อย่างไรในรูปแบบ Big data
ภายใต้ความยุ่งยากจากการที่ข้อมูกระจัดกระจายและไม่เป็นระบบ เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับการให้บริการประชาชน
ประเด็นต่อมาคือ หน่วยงานกำกับดูแลต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง จะปรับปรุงพัฒนากฎระเบียบให้มีความทันสมัยได้อย่างไร
ภายใต้การเปลี่ยนแปลงของระบบนิเวศในอุตสาหกรรมโทรคมนาคมและอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับการเงินการธนาคาร เพื่อให้ประชาชนในทุกภาคส่วนสามารถใช้ Big data ที่ภาครัฐเตรียมไว้ให้ ได้อย่างมีประสิทธิผล
ยุทธศาสตร์ชาติด้าน Big data เมื่อดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรมแล้วจะสามารถสนับสนุนงานภายในภาครัฐและงานบริการประชาชนได้ ดังนี้
- ทำให้หน่วยงานภาครัฐต่างๆ สามารถใช้ข้อมูลร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- เพิ่มประสิทธิภาพในการออกกฎระเบียบการกำกับดูแลของหน่วยงานภาครัฐต่อภาคธุรกิจได้ดีขึ้น เพราะรัฐเข้าใจปัญหามากขึ้น และแก้ปัญหาได้ตรงจุด เนื่องจากมองเห็นข้อมูลครบรอบด้าน
- สามารถเข้าถึงและให้บริการประชาชนได้แบบเฉพาะบุคคล (Personalizing government services)
- สามารถทำให้ประชาชนมีช่องทางและมีสิทธิในการตัดสินใจร่วมกับภาครัฐได้มากขึ้นและง่ายขึ้น
- รัฐสามารถแก้ปัญหานโยบายสาธารณะที่ซับซ้อนได้ดีขึ้นและแม่นยำขึ้นด้วยข้อมูลที่ครบรอบด้าน
- รัฐสามารถสนับสนุนส่งเสริมด้านนวัตกรรมได้ดีขึ้นด้วยกระบวนการที่ชาญฉลาดและรวดเร็วขึ้นจากแหล่งข้อมูล Big data ที่ทรงพลัง
- ภาครัฐและเอกชนสามารถลดต้นทุนการทำธุรกรรม (transaction cost) และลดค่าใช้จ่ายในการทำงานที่ซ้ำซ้อน จากการใช้ Big data ที่สมบูรณ์
ตัวอย่างอีก 2 ประเทศเล็กๆ แต่ทรงพลัง ที่นำเอา Big data มาบรรจุไว้ในยุทธศาสตร์ระดับชาติ เช่น Big data national strategy ของประเทศสิงคโปร์ที่พยายามจะใช้ Big data มาขับเคลื่อนนโยบาย "Smart Nation"
และประเทศเอสโทเนียได้นำเอา Big data มาเป็นโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ และได้นำเอาเทคโนโลยี Blockchain มาประยุกต์ใช้เพื่อความมีเสถียรภาพของระบบเทคโนโลยีสารสนเทศของประเทศอีกด้วย
อีกทั้งเอสโทเนียยังเป็นประเทศที่มีระบบ vote แบบ online เป็นประเทศแรกของโลก ซึ่ง 25% ของการ vote ทั้งหมดของประชากรเอสโนเนีย ได้ทำผ่านระบบ vote แบบ online
และ 99.6% ของการทำธุรกรรมธนาคารทั้งหมดเป็นการทำผ่านระบบ online โดยประเทศเอสโทเนียได้ประกาศในนโยบาย "Digital Agenda 2020" ว่าจะนำเอา Big data มาใช้เพื่อการพัฒนาและให้บริการประชาชนอย่างมีประสิทธิภาพ
Big data กำลังเป็น Megatrend ในแวดวงนักยุทธศาสตร์ระดับชาติทั่วโลกแล้วในวันนี้
เพราะ Big data จะเป็นเครื่องมือที่สำคัญที่จะทำให้ภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน สามารถร่วมกันทำงาน (Collaboration) เพื่อทำให้เกิดมูลค่าทางเศรษฐกิจในยุค Industry 4.0 และทำให้เกิดคุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชนในชาติได้
โดย Big data จะสร้างงานใหม่ๆ เพิ่มคุณภาพในด้านการผลิต และทำให้การทำงานของภาครัฐและเอกชนมีประสิทธิภาพสูงขึ้น ประเทศที่ตามไม่ทันอาจตกยุคอย่างรวดเร็ว
Reference[1] https://www.nist.gov/sites/default/files/documents/itl/ssd/is/NIST-BD-Platforms-05-Big-Data-Wactlar-slides.pdf[2] https://obamawhitehouse.archives.gov/blog/2016/05/23/administration-issues-strategic-plan-big-data-research-and-development[3] https://www2.deloitte.com/content/dam/Deloitte/xe/Documents/About-Deloitte/mepovdocuments/mepov18/big-data_mepov18.pdf[4] http://www.itl.ee/Digital_Agenda_2020
พ.อ.ดร.เศรษฐพงค์ มะลิสุวรรณกรรมการกิจการกระจทิ้งายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.)www.เศรษฐพงค์.com