svasdssvasds
เนชั่นทีวี

เศรษฐกิจ

คลื่นลูกที่สาม เขย่าโลก!!!

28 มิถุนายน 2560
เกาะติดข่าวสาร >> Nation Story
logoline

ตัวผู้เขียนเองได้มีโอกาสอ่านหนังสือเล่มหนึ่งที่มีชื่อว่า 'The Third Wave' โดยผู้แต่ง คือ ''Steve Case''

ซึ่งเป็นหนังสือที่ตีพิมพ์มาหลายครั้งแล้วในอดีต แต่ได้นำมาปรับปรุงและเพิ่มเติมและตีพิมพ์ล่าสุดเมื่อปี 2016 เพื่อคาดการณ์อนาคตของเทคโนโลยีในยุคต่อไป รวมทั้งผลกระทบ

คลื่นลูกที่สาม เขย่าโลก!!!


ซึ่งหนังสือเล่มนี้ได้ทำการวิเคราะห์ยุคของอินเทอร์เน็ต (Internet) โดยแบ่งเป็น 3 ลูกคลื่นดังนี้
First wave (1985-1999)
- Building the Internet : Laying the foundation for online world
- Key device : PCs
- Core risks : Technology
Second wave (2000-2015)
- App Economy and Mobile revolution : Search, social, and ecommerce startups grow on top of the Internet
- Key device : Smartphones
- Core risks : Marketing
Third wave (2016-->)
- Ubiquitous connectivity allows entrepreneurs to transform major, real-world sectors
- Key device : Sensors
- Core risks : Partnership + Policy
คลื่นลูกที่ 1 (First Wave) เป็นคลื่นลูกแรกของเทคโนโลยี Internet ในช่วงปี 1985 1999 เป็นช่วงเวลาที่โลกกำลังวางโครงสร้างพื้นฐานเชื่อมโยงโลกด้วยเทคโนโลยีสื่อสารโทรคมนาคม
เช่น เครือข่ายใยแก้วนำแสง และเครือข่ายดาวเทียม เป็นต้น โดยอุปกรณ์สื่อสารที่ตัวบุคคลที่ใช้อย่างแพร่หลายคือคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล (PC) ซึ่ง ณ เวลานั้น ความเสี่ยงในการลงทุนคือเทคโนโลยี เพราะเทคโนโลยียังมีทิศทางที่ไม่แน่นอน และมีต้นทุนที่สูงมากอีกด้วย
การที่คลื่นลูกที่ 1 ที่ทั่วโลกได้สร้างโครงสร้างพื้นฐานอย่างรวดเร็ว และมีการลงทุนเครือข่ายใยแก้วนำแสง เชื่อมโยงทุกประเทศทั่วโลก จนทำให้อินเทอร์เน็ตเป็นแพลทฟอร์มของธุรกิจ online เช่น ecommerce เริ่มรุ่งเรืองในช่วงปี 1999 และในช่วงเวลานั้นเริ่มมีการประมูลคลื่นความถี่ 3G เป็นครั้งแรก ส่งผลให้หลังจากนั้นไม่กี่ปี ได้เกิดความโกลาหลในธุรกิจหนังสือพิมพ์และสื่อแบบดั้งเดิมในสหรัฐอเมริกาและยุโรป เพราะเม็ดเงินการโฆษณาได้ย้ายไปอยู่ในสื่ออินเทอร์เน็ตอย่างรวดเร็ว
คลื่นลูกที่ 2 (Second Wave) เทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตในช่วงปี 2000 2015 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่โลกเริ่มเชื่อมโยงกันอย่างหนาแน่นด้วยระบบ Mobile Internet 3G จนถึงปี 2009 ได้มีการประมูลคลื่นความถี่ 4G ในหลายประเทศ
ส่งผลทำให้เกิดธุรกิจ online ที่แปลกใหม่ และเกิดเศรษฐกิจรูปแบบใหม่ จนมีการตั้งศัพท์ใหม่ๆ ที่สอดคล้องกับเศรษฐกิจใหม่ที่เกิดขึ้นในช่วงเวลานั้น
เช่น App Economy, Digital Economy, Creative Economy เป็นต้น
แต่ก็ส่งผลลบต่ออุตสาหกรรมโทรทัศน์แบบดั้งเดิมที่ต้องมาพบกับการ broadcast บน social media ในรูปแบบ streaming และ realtime บน Mobile Internet 4G และยังมีเทคโนโลยี Search engine ที่ทรงประสิทธิภาพ มีเทคโนโลยี Social media ที่ทรงพลัง เกิดธุรกิจรูปแบบใหม่ startup มากมาย ที่เติบโตอยู่บนโครงสร้างพื้นฐานอินเทอร์เน็ต โดยอุปกรณ์สื่อสารที่ตัวบุคคลที่ใช้อย่างแพร่หลายอย่างยิ่ง
คือ Smartphones ซึ่งมีการคาดการณ์ว่า จะมีการใช้ Smartphones ทั่วโลกถึงกว่า 70% ของประชากรโลกภายในปี 2020 โดยในคลื่นลูกที่ 2 นี้เองที่เริ่มมีการเปลี่ยนผ่านที่สำคัญยิ่ง
ทั้งในแง่ของพฤติกรรมของผู้บริโภค จนมีผลกระทบต่อรูปแบบการทำธุรกิจที่จะต้องมีการตอบสนองต่อลูกค้าในลักษณะ realtime จนทำให้เกิดผลกระทบอย่างรุนแรงต่อธุรกิจที่ไม่สามารถปรับตัวไปสู่ยุค Marketing 3.0 ได้ ซึ่งถือว่าเป็นยุคการตลาดแบบลูกค้าเป็นศูนย์กลาง (Customer centric)
เพราะในยุคนี้ ผู้บริโภคหรือผู้เสพสื่อได้เปลี่ยนพฤติกรรมไปอย่างสิ้นเชิง อีกทั้งผู้บริโภคได้กลายเป็นผู้ผลิตสื่อไปแล้ว จนทำให้ความเสี่ยงมีน้ำหนักลงไปที่การ disrupt ในวิธีการทำการตลาดนั่นเอง
คลื่นลูกที่ 3 (Third Wave) เป็นเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตที่เริ่มตั้งแต่ปี 2016 เป็นต้นไป ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่โลกเริ่มเข้าสู่การเชื่อมต่อแบบยิ่งยวด (Hyperconnected) ทุกที่และทุกเวลา (Anywhere and Anytime)
จนทำให้เกิดการเชื่อมโยงข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) เพราะการเชื่อมต่ออุปกรณ์ sensor กำลังเกิดขึ้นอย่างมาก รวมไปถึงประชากรโลกนับหลายพันล้านคนเชื่อมโยงกันผ่าน social media
ยิ่งไปกว่านั้นเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ได้เข้ามามีบทบาทในการขับเคลื่อนกระบวนการอัตโนมัติ และกระบวนการวิเคราะห์ที่ซับซ้อน
จนทำให้เกิดการดำเนินการในรูปแบบใหม่เกิดขึ้นในทุกธุรกิจ จนรูปแบบการทำการตลาดเปลี่ยนไปสู่ Marketing 4.0 ที่มุ่งเน้น ความเป็นมนุษย์เป็นศูนย์กลาง (Human centric)
ซึ่งเป็นการมุ่งเน้นความเป็นตัวตนของผู้บริโภคเป็นหลัก และยังเกิดการเปลี่ยนแปลงในระบบเศรษฐกิจโลก ที่เกิดการเคลื่อนย้ายไปสู่ดิจิทัลแพลทฟอร์มอย่างเต็มรูปแบบ (Digital Transformation) และเทคโนโลยี Mobile Internet 5G กำลังจะถูกมาใช้อย่างเต็มรูปแบบในปี 2020 โดยมีขีดความสามารถในการส่งข้อมูลขนาดใหญ่ด้วยความเร็วสูงกว่า 4G อย่างน้อย 10 เท่า
และมีการคาดการณ์จากสำนักวิจัยที่มีชื่อเสียง และสถาบันการศึกษาระดับโลก โดยผลการวิเคราะห์ระบุว่า จะมีบริษัทในธุรกิจต่างๆ อาจปรับตัวไม่ทัน จนไม่สามารถเอาชนะบริษัทใหม่ที่ใช้เทคโนโลยีใหม่ที่มีประสิทธิภาพสูงกว่ามาก แต่มีราคาต้นทุนที่ต่ำกว่า และบริษัทที่ปรับตัวไม่ทันเหล่านั้นอาจจะต้องออกจากตลาดในที่สุด
ปัจจุบัน ในคลื่นลูกที่ 3 เป็นการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมยุคที่ 4 (Industry 4.0) ซึ่งเป็นยุคที่ต้องลงทุนในระบบโครงสร้างพื้นฐานขององค์กรที่ซับซ้อนเป็นอย่างมาก เพราะจะต้องเลือกวิธีการลงทุนที่ต่ำที่สุด
ด้วยการใช้ทรัพยากรร่วมกับองค์กรอื่น เช่น การใช้ระบบคลาวด์ที่ไม่ใช่เป็นขององค์กรของเราที่เป็นเจ้าของแต่เพียงผู้เดียว แต่เลือกวิธีการเช่าใช้แทน (ด้วยความเสี่ยงที่ยอมรับได้) เป็นต้น
ยิ่งไปกว่านั้น ในยุค Industry 4.0 จะเกิดการเปลี่ยนแปลงในหลายอุตสาหกรรม ไม่ว่าจะเป็น สื่อและบันเทิง, โทรคมนาคม, การเงินการธนาคาร, การประกันภัย, โลจิสติกส์ และพลังงาน เป็นต้นจึงทำให้บริษัทต่างๆ รวมไปถึงองค์กรภาครัฐ จะต้องใช้มืออาชีพเข้ามาทำงานในส่วนที่เป็น Core business ไปจนถึงระดับการวางยุทธศาสตร์ เพราะในทุกภาคส่วนจะมีผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีที่ก้าวกระโดด จนทำให้ต้องมีหลักการพิจารณาในการวางอนาคตใหม่ขององค์กร โดยมีประเด็นดังนี้ คือ
- การตอบสนองแบบ Realtime
- การสร้างขีดความสามารถด้าน Mobility
- การสร้างทรัพย์สินที่จับต้องไม่ได้ (Intangible asset )
- ขีดความสามารถในการพยากรณ์อย่างแม่นยำ
- ความโปร่งใสขององค์กร
- ความมั่นคงปลอดภัยด้านไซเบอร์ และความน่าเชื่อถือ
จากที่ผู้เขียนได้ศึกษาจากบทวิเคราะห์ที่น่าเชื่อถือได้จากหลายแหล่ง ได้เห็นว่า ในคลื่นลูกที่ 3 ไปสู่คลื่นลูกที่ 4 ของอินเทอร์เน็ต นั้นมีความเป็นไปได้ที่จะใช้เวลาไม่เกิน 1 ทศวรรษ ซึ่งจะสั้นกว่าช่วงเวลาของคลื่นลูกที่ผ่านมา
ทั้งนี้เพราะนวัตกรรมการพัฒนาด้านเทคโนโลยีนับจากนี้ไปจะมีช่วงชีวิต (life cycle) ที่สั้นลง เพราะโลกมีการลงทุนในการวิจัยและพัฒนาอย่างหนักมากกว่าในอดีตที่ผ่านมา จึงทำให้เทคโนโลยีในทุกสาขาวิชามีการพัฒนาแบบก้าวกระโดด
เป็นที่แน่ชัดว่าในช่วงปี 2020 2025 รูปแบบของการดำเนินธุรกิจจะเปลี่ยนไปอย่างมาก จนอาจจะมีอาชีพบางสาขาหายไป เกิดรูปแบบอาชีพใหม่ๆ ที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนมากมาย
จนอาจจะไม่เห็นเค้าโครงเดิมในปี 2030 เพราะในช่วงเวลานั้น เทคโนโลยี Mobile broadband + IoT + Big data + AI + Data analytics + Robot + Blockchain จะมีการหลอมรวม (Convergence) เชื่อมโยงกันอย่างมีประสิทธิภาพอย่างยิ่ง
จนทำให้ขีดความสามารถในธุรกิจแบบดั้งเดิมไม่สามารถแข่งขันในตลาดได้อีกต่อไป


พ.อ.ดร.เศรษฐพงค์ มะลิสุวรรณกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.)www.เศรษฐพงค์.comLINE id : @march4G

logoline