เร่งล่าเครือข่ายก่อการร้ายจากแมนเชสเตอร์ ถึงฟิลิปปินส์-จาการ์ตา ส่งผลกระทบ 6 เมืองหลักในยุโรป

ล่าสุด อังกฤษจับกุมผู้ต้องสงสัยแล้วรวม 7 คนสำหรับเครือข่ายผู้ก่อการร้ายที่ IS ออกมาอ้างตัวโจมตีระเบิดฆ่าตัวตายที่แมนเชสเตอร์ อารีนา ฉุนสหรัฐปูดข่าวให้สื่อเกี่ยวกับการสืบสวนปฏิบัติการไลล่าตัวผู้ก่อการร้ายจากแมนเชสเตอร์ถึงตริโปลี
ขณะที่เมื่อเวลา 3 ทุ่มคืนวันพุธเกิดเหตุระเบิดฆ่าตัวตายที่สถานีรถเมล์ขนส่งทางตะวันออกของกรุงจาการ์ตา มีผู้เสียชีวิต 3 คน บาดเจ็บอีก 10 คน ส่วนเหตุการณ์โจมตีจากการก่อการร้ายที่เมืองมาราวีในเกาะมินดาเนา ของกลุ่มก่อการร้ายอาบูซายาฟและกลุ่มมาอูเตซึ่งประกาศสวามิภักดิ์ต่อ IS นั้นยังคงไม่ยุติความรุนแรง จนทำให้ประธานาธิบดีดูเตอร์เต้อาจพิจารณาขยายเวลากฎอัยการศึกไปเป็น 1 ปีหลังจากที่ประกาศใช้กฎอัยการศึก 60 วันเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา

1.ปฏิบัติการเร่งล่าเครือข่ายก่อการร้ายจากกรณีระเบิดฆ่าตัวตายที่แมนเชสเตอร์ อารีนา เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา และนับจากเหตุก่อการร้ายในฝรั่งเศสรวมทั้งเบลเยียม เรื่อยมาจนทำให้รัฐบาลในหลายประเทศต้องใช้ปฏิบัติการเฝ้าระวังด้านการทหารเข้ามาช่วยเสริมในการรักษาดูแลความปลอดภัยนั้น สำนักข่าวรอยเตอร์สรายงานว่าได้ส่งผลต่อ 6 เมืองหลักในยุโรป นับตั้งแต่ Paris Nice Brussels St. Petersburg Berlin จนถึง London ได้รับผลกระทบอย่างหนักในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา
โดย Amber Rudd รัฐมนตรีมหาดไทยของอังกฤษ เปิดเผยว่า รัฐบาลได้ส่งกองกำลังทหารกว่า 3,800 นายเฝ้าระวังบนถนนต่างๆ ทั่วเกาะอังกฤษ โดยเฉพาะในกรุงลอนดอนใช้ทหารถึง 984 นายเฝ้าระวังที่พระราชวังบัคกิงแฮม และบริเวณถนนดาวนิ่งซึ่งเป็นที่พักของนายกรัฐมนตรี หลังจากมีข้อสันนิษฐานว่าทำเป็นขบวนการเหตุการณ์โจมตีด้วยระเบิดมีมากขึ้น


2.ทั้งนี้ Amber Rudd ตำหนิสหรัฐให้ข่าว IS ใช้ระเบิดฆ่าตัวตายโจมตีในงานคอนเสสิร์ต Areana Grande ที่แมนเชสเตอร์ อารีนา จนมีผู้เสียชีวิต 22 คน และบาดเจ็บอีก 64 คน ซึ่งในจำนวนนี้มีอาการสาหัสถึง 20 คน รวมทั้งเธอยังฉุนสหรัฐที่ปูดข่าวให้สื่อสหรัฐก่อน เริ่มจากนิวอยร์กไทม์ที่แพร่ภาพและข่าวเกี่ยวกับรายละเอียดตัวผู้ก่อการร้ายที่อยู่ในขั้นตอนกระบวนการสืบสวนสอบสวนและปฏิบัติการไลล่าตัวผู้ก่อการร้ายจากแมนเชสเตอร์ถึงตริโปลี
โดยล่าสุด อังกฤษได้จับกุมผู้ต้องสงสัยเพิ่มขึ้น แล้วรวม 7 คนที่เชื่อว่าเป็นเครือข่ายผู้ก่อการร้ายที่ IS ออกมาอ้างตัวโจมตีระเบิดฆ่าตัวตายที่แมนเชสเตอร์ อารีนา โดยที่มีการจับกุมตัวที่ลิเบียทั้งพ่อและน้องชายวัย 20 ปี รวมทั้งพี่ชายวัย 23 ปีที่ยังอยู่ในแมนเชสเตอร์ ของ Salman Abedi มือระเบิดฆ่าตัวตาย โดยที่พบว่า Salman Abedi เพิ่งเดินทางกลับจากลิเบีย และมีรายงานจากฝ่ายความั่นนคงว่าเคยเดินทางไปซีเรียมาด้วย


3.เมื่อเวลา 21.00 น.ในคืนวันพุธที่ผ่านมา เกิดเหตุระเบิดฆ่าตัวตายถึง 2 ครั้งในเวลาห่างกันเพียง 5 นาที บริเวณใกล้กับสถานีรถเมล์ขนส่งในย่านกัมปุง มลายู ทางตะวันออกของกรุงจาการ์ตาในอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นย่านที่มีผู้คนพลุกพล่าน จนทำให้บริเวณดังกล่าวเกิดความวุ่นวายทันที
โดยที่โฆษกของสำนักงานตำรวจแห่งชาติอินโดนีเซีย ระบุว่ากำลังเร่งสอบสวนเหตุการณ์ระเบิดฆ่าตัวตาย ซึ่งทำให้ตำรวจเสียชีวิต 3 คน ขณะที่ผู้ได้รับบาดเจ็บเป็นตำรวจ 5 นายและประชาชน 5 คน เบื้องต้นพบว่าผู้ต้องสงสัยเป็นชาย 2 คนซึ่งทั้งคู่ได้ซุกซ่อนระเบิดไว้ในหม้อแรงดัน
สำหรับเหตุโจมตีระเบิดในอินโดนีเซียได้เกิดขึ้นมาครั้งหนึ่งเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา ซึ่งคนร้าย 4 คนก่อเหตุยิงและระเบิดกลางกรุงจาการ์ตาทำให้มีผู้เสียชีวิต 4 ราย โดยกองกำลังรัฐอิสลามหรือ IS อ้างว่าเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการโจมตีดังกล่าว โดยนับเป็นปฏิบัติการของ IS ครั้งแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้


4.ก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์อื่นซึ่งมีความเชื่อมโยงกับ IS ตามมา นอกจากที่เกิดเหตุที่เมืองแมนเชสเตอร์ในวันจันทร์ ต่อมาในวันอังคาร กลุ่มก่อการร้ายในฟิลิปปินส์ที่อ้างตัวว่า เป็น IS ด้วยนั้น ได้บุกเข้าโจมตีเมืองมาราวีในเกาะมินดาเนา ทางตอนใต้ของฟิลิปปินส์ โดยที่ยังคงมีการโจมตีและต่อสู้อย่างต่อเนื่อง และบุกเข้าไปในโรงพยาบาล เพื่อติดธงสัญลักษณ์ของ IS
ทั้งนี้ ก่อนหน้านี้มีรายงานข่าวว่า กลุ่มกองโจรอาบูซายาฟที่ต่อสู้กับรัฐบาลฟิลิปปินส์ตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมา ได้ประกาศเป็นพันธมิตรกับ IS นอกจากนี้ ล่าสุดกลุ่มมาอูเตที่เป็นกลุ่มก่อการร้ายในท้องถิ่นของฟิลิปปินส์เองได้ประกาศตัวเข้ากับกลุ่ม IS ด้วยเช่นกัน

ขณะที่ผู้นำฟิลิปปินส์จะพิจารณาใช้กฎอัยการศึกทั่วประเทศ โดยระบุว่าหาก IS ยังแผ่อิทธิพลเข้ามาในประเทศ และสถานนการณ์ยังไม่สงบ อาจขยยายเวลาออกไป 1 ปีจากที่ประกาศใช้กฎอัยการศึกเป็นเวลา 60 วันในวันอังคารที่ผ่านมา


5.ส่วนอีกซีกหนึ่งของโลก ดัชนราคาหุ้นสหรัฐทั้ง 3 ตลาดหลักพุ่งทำสถิติสูงสุดใหม่ โดยไม่หวั่นต่อภาพการก่อการร้ายที่ร้อนแรงในอังกฤษจนถึงเอเชีย เพียงเพราะตลาดคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะขึ้นดอกเบี้ยอีก 2 ครั้งในเดือนมิถุนายนและกันยายน โดยที่เป้าหมายอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นที่เป็น Fed Fund Rate เฉลี่ยจะอยู่ที่ 1.38% ในปีนี้ เนื่องจากเงินเฟ้อยังไม่สามารถทะลุเป้าที่ 2% ได้ ท่ามกลางสัญญาณเศรษฐกิจที่อ่อนแอในไตรมาสแรกที่เติบโตเพียง 0.5% ถึงจะเชื่อว่ามีการรีบาวน์ในไตรมาสสองนี้ก็ตาม
ในขณะที่รัฐบาลของโดนัลด์ ทรัมป์ ยังคงต้องเผชิญกับปัญหางบประมาณวงเงิน 1.7 ล้านล้านดอลลาร์ที่ยังไม่สามารถผ่านสภา รวมทั้งนโยบายปฏิรูปภาษี และมาตรการลงทุนเพิ่มขึ้นในโครงสร้างพื้นฐานยังไม่เกิดผลในทางปฏิบัติ ท่ามกลางการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงที่ระดับ 2% ในปีนี้ แทนที่จะเป็น 3-3.5% ตามที่ประธานาธิบดีทรัมป์ได้ประกาศไว้ตั้งแต่รับตำแหน่ง
โดยที่ดาวโจนส์ยังคงพุ่งขึ้นปิดที่ระดับ 21,012 เพิ่มขึ้น 74 จุดหรือ 0.36% ส่วน S&P500 เพิ่มขึ้น 0,25% ปืดที่ 2,404 และ Nasdaq ปิดที่ 6,163 เพิ่มขึ้น 0.40%