
โดยประธานาธิบดีสี จิ้นผิง จะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมสุดยอดผู้นำ 28 ประเทศทั้งจากเอเชีย ยุโรป และแอฟริกา เข้าร่วมเพื่อเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศในอนาคตภายใต้ยุทธศาสตร์ One Belt and One Road ที่กรุงปักกิ่งระหว่างวันที่ 14-15 พฤษภาคมนี้ ขณะที่ประธานาธิยดีวลาดืมีร์ ปูติน เตรียมการเข้าร่วมประชุมครั้งนี้ด้วยในการร่วมฟื้นฟูเส้นทางการค้ายูเรเชียกลับมาสู่ยุครุ่งเรืองอีกครั้ง
ถึงแม้ว่า สถานการณ์โลกในปัจจุบันที่มีความเสี่ยงทางด้านภูมิรัฐศาสตร์มากขึ้น เนื่องจากเกิดกระแสการต้านโลกภิวัตน์ รวมถึงความขัดแย้งจนเกิดภาวะสงครามในหลายๆ จุดสำคัญของโลก โดยเฉพาะความตึงเครียดของคาบสมุทรเกาหลีในขณะนี้
1.ล่าสุดธนาคาเพื่อพัฒนาเอเชีย ประเมินว่าจีนอาจต้องวางเป้าหมายระดมทุนมหาศาลสูงถึง 26 ล้านล้านดอลลาร์ เพื่อเดินหน้าลงทุน "เส้นทางสายไหม" ใหม่ ในโครงการโครงสร้างพื้นฐาน ภายในปี 2030 ซึ่งเป็นยุทธศาสตร์เชื่อมโยงเส้นทางการค้าและการลงทุนของ 3 ทวีปจากเอเชียเชื่อมต่อไปยังยุโรปและแอฟรืกา แต่การระดมทุนขนาดใหญ่ที่เป็น international capital pool จำเป็นที่จีนต้องการดึงเม็ดเงินทั้งภาครัฐและธุรกิจเอกชนขนาดใหญ่จากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และตะวันออกกลาง เข้ามาเป็นหุ้นส่วนด้วย
ท่ามกลางสถานการณ์โลกในปัจจุบันที่มีความเสี่ยงทางด้านภูมิรัฐศาสตร์มากขึ้น เนื่องจากเกิดกระแสการต้านโลกภิวัตน์ รวมถึงควาตึงเครียดของภาวะสงครามในหลายๆ จุดสำคัญของโลก โดยเฉพาะในคาบสมุทรเกาหลี แต่ยุทธศาสตร์ One Belt and One Road ยังคงได้รับการสนับสนุนจากกว่า 65 ประเทศซึ่งมีประชากรโลกรวมกัน 60% และมีผลผลิตของประเทศมากถึง 1 ใน 3 ของโลก
2.ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีนเตรียมเป็นเจ้าภาพจัดประชุมความร่วมมือ One Belt and One Road ตามเส้นทางสายไหมใหม่ โดยมีผู้นำจาก 28 ประเทศเข้าร่วมการประชุมเพื่อเสริมสร้างความร่วมมือต่อไปในอนาคต ที่กรุงปักกิ่งระหว่างวันที่ 14-15 พฤษภาคมนี้ พร้อมประกาศถึงผลความก้าวหน้า ซึ่งคณะกรรมการด้านการพัฒนาและปฏิรูปแห่งชาติของจีน (NDRC) ได้เปิดเผยก่อนหน้านี้ถึงการลงทุนจองจีนได้ลงทุนในประเทศต่างๆ ตามโครงการเส้นทางสายไหมใหม่ไปแล้วกว่า 5 หมื่นล้านดอลลาร์ นับตั้งแต่จีนเริ่มเปิดตัวโครงการในปี 2013 โดยที่ได้รับการสนุบสนุนจากประเทศต่าง ๆ กว่า 100 แห่ง รวมถึงองค์กรต่างประเทศ ซึ่งมีการลงนามในข้อตกลงด้านความร่วมมือระหว่างรัฐบาลอีก 50 ฉบับ
โดยเป็นที่น่าจับตามองว่า ประธานาธิยดีวลาดืมีร์ ปูติน ได้เตรียมการเข้าร่วมประชุมครั้งนี้ด้วยในการร่วมฟื้นฟูเส้นทางการค้ายูเรเชียที่เป็นของยุโรปและเอเชียยุคโบราณให้กลับมาสู่ยุครุ่งเรืองอีกครั้ง โดยที่รัสเซียเป็นศูนย์กลางในเชื่อมโยงการกับตุรกัและอิหร่าน ที่เป็นยุทศสาตร์สำคัญของยูเรเซีย
สำหรับการประชุมสุดยอดผู้นำ 28 ประเทศครั้งนี้ประกอบด้วย ผู้นำประเทศจากอาร์เจนตินา เบลารุส ชิลี สาธารณรัฐเชก อินโดนีเซีย คาซัคสถาน เคนยา ลาว ฟิลิปปินส์ รัสเซีย สวิตเซอร์แลนด์ ตุรกี อุซเบกิสถาน เวียดนาม กัมพูชา เอธิโอเปีย สาธารณรัฐฟิจิ กรีซ ฮังการี อิตาลี มาเลเซีย มองโกเลีย เมียนมา ปากีสถาน โปแลนด์ เซอร์เบีย สเปน และศรีลังกา
3.โครงการเส้นทางสายไหมใหม่ริเริ่มโดยประเทศจีนเมื่อปี 2013 เพื่อสร้างโครงข่ายทางด้านการค้าและสาธารณูปโภคระหว่างทวีปเอเซียกับยุโรปและแอฟริกาตามเส้นทางการค้าที่มีอยู่เดิม พร้อมๆ กันจีนก็กำลังดำเนินโครงการด้านการบิน พลังงาน ทางรถไฟ ถนน และโทรคมนาคม ภายใต้ความร่วมมือของหลายประเทศ เพื่อสานต่อเส้นทางสายไหม (Silk Road) ในอดีต ซึ่งเป็นหนึ่งในเส้นทางการค้าที่สำคัญแห่งหนึ่งของโลก แต่เมื่อเวลาผ่านไปเส้นทางนี้กลับถูกแทนที่ด้วยเส้นทางการค้าอื่นๆ และลดบทบาทลง
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ได้นำเสนอเส้นทางสายไหมเก่ากลับมาฟื้นฟูอีกครั้งในฐานะเส้นทางสายไหมแห่งใหม่ หรือ New Silk Road ในศตวรรษที่ 21 ภายใต้นโยบายที่เรียกว่า One Belt One Road ซึ่งเป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์สำคัญที่จะเป็นเครื่องมือต่อยอดและสร้างโอกาสใหม่ๆ ด้านการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศของจีน
ว่ากันว่า One Belt One Road แบ่งการพัฒนาเป็น 2 เส้นทาง ได้แก่ เส้นทางสายไหมทางบก (Silk Road Economic Belt) ตั้งแต่ฝั่งตะวันตกของจีนไปสิ้นสุดที่ยุโรป และเส้นทางสายไหมทางทะเล (Maritime Silk Road) ตั้งแต่ทางตอนใต้ของจีนไปสู่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และสิ้นสุดที่ยุโรป
4.สำหรับอาเซียน โครงการเส้นทางสายไหมแห่งใหม่จะส่งผลดีต่อการพัฒนาระบบขนส่งทางทะเลในเวียดนาม อินโดนีเซีย และมาเลเซีย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเส้นทางสายไหมทางทะเล ซึ่งจะช่วยแก้ปัญหาการเดินเรือในภูมิภาคที่ประสบกับปัญหาความคับคั่งในการเดินเรือที่ช่องแคบมะละกา รวมทั้งปัญหาโจรสลัด
ขณะที่ไทยแม้ไม่ได้อยู่บนเส้นทางสายไหมแห่งใหม่โดยตรง แต่ยุทธศาสตร์ชาติระยะ 20 ปี (ระหว่างปี 2017-2036) จะมีการพัฒนาระบบคมนาคมให้เชื่อมโยงกับจีน อาทิ การพัฒนาเส้นทางรถไฟความเร็วสูงกรุงเทพฯ-หนองคาย เชื่อมต่อกับเส้นทางรถไฟความเร็วสูงจีนและลาว ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพระบบขนส่ง รวมทั้งเป็นผลดีต่อภาคอุตสาหกรรมและภาคท่องเที่ยว
ทั้งนี้ ทางการไทยทั้งรัฐมนตรีการต่างประเทศ รัฐมนตรีคมนาคม รัฐมนตรีพาณิชย์ รัฐมนตรีดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และรัฐมนตรีวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มีกำหนดเดินทางเข้าร่วมการประชุมสุดยอดผู้นำเวทีข้อริเริ่มเส้นทางสายไหมและเส้นทางสายไหมทางทะเลในศตวรรษที่ 21 ตามคำเชิญของรัฐบาลจีนด้วย
5.บทบาททางการเงินของจีนในการออกสู่การลงทุนนอกประเทศตามเส้นทางสายไหมใหม่นั้น นับคั้งแต่ปี 2013 จีนได้ใช้ธนาคารที่เป็นแกรจัดตั้งขึ้น ทั้ง The New Development Bank (NDB) ที่มีเป้าหมายการให้เงินกู้ช่วยเหลือในกลุ่ม BRICS Brazil, Russia, India, China และ South Africa ได้เริ่มเปิดดำเนินการในเดือนกรกฎาคม 2015 ซึ่งเป็นการให้กู้โดยการออกบอนด์เป็นเงินหยวน หรือสกุลเงินท้องถิ่นอย่างเช่น เงินรูปีของอินเดีย เป็นต้น โดยมีทุนประเดิม 1 แสนล้านดอลลาร์
ขณะเดียวกันมีการตั้ง The Asian Infrastructure Investment Bank (AIIB) เริ่มขึ้นเมื่อเดือนมกราคา 2016 ด้วยทุนประเดิม 1 แสนล้านดอลลาร์ ขณะนี้มีสมาชิกถึง 70 ประเทศ มีการปล่อยกู้ช่วยเหลือโครงการลงทุนในเส้นทางรถไฟที่เป็น Eurasian Land Bridge เชื่อมจีนกับยุโรป และให้เป็นศูนย์กลางเชื่อมต่อบังคลาเทศ-จีน-อินเดีย-เมียนมา
นอกจากนี้มีรายงานล่าสุด จีนซึ่งได้เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในฐานะสมาชิกของ European Bank for Reconstruction and Development ตั้งแต่ปลายปี 2015 ได้ตกลงที่ร่วมปล่อยกู้โครงการแพคเก็จการลงทุนขนาดใหญ่ในยุโรป วงเงินสูงถึง 3.15 แสนล้านยูโร หรือ 3.43 แสนล้านดอลลาร์ รวมทั้ง The Export-Import Bank of China ได้จัดตั้งกองทุนที่เป็นความร่วมมือระหว่างจีน กับยุโรปตอนกลางและยุโรปตะวันออก เป็น the China-Central and Eastern Europe Investment Cooperation Fund ในปี 2014 ในวง้งืน 435 ล้านดอลลาร์ มีการจดทะเบียนในลักเซมเบอร์ก เพื่อการลงทุนในโครงการพลังงาน 2 แห่งในโปแลนด์ รวมถึงการปล่อยกู้ในวงเงิน 1-5 หมื่นล้านยูโรให้กับการลงทุนในโปแลนด์ ลัทเวีย และสาธารณเช็ก