svasdssvasds
เนชั่นทีวี

เศรษฐกิจ

Nasdaq ทำสถิติสูงสุดทะลุ 6.000 ดาวโจนส์เบรก 21,000 อีกครั้ง

26 เมษายน 2560
เกาะติดข่าวสาร >> Nation Story
logoline

หุ้นเทคโนโลยีหนุน Nasdaq ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์พุ่งทะลุ 6,000 ขณะที่ Caterpillar-McDonald ดันดาวโจนส์ทะยานแตะ 21,000 อีกครั้ง

หุ้นสหรัฐสร้างเซอร์ไพรส์นักลงทุนทั่วโลกเมื่อหุ้นเทคโนโลยีหนุน Nasdaq ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์พุ่งทะลุ 6,000 ขณะที่ผลประกอบการดีขึ้นของ Caterpillar-McDonald ดันดาวโจนส์ทะยานแตะ 21,000 อีกครั้ง หลังจากเกิดภาวะการเคลื่อนไหวที่ชะงักค้างมาตั้งแต่ต้นเดือนเมษายน ท่ามกลางสถานการณ์ความเสี่ยงทั้งจากปัจจัยการเมืองและเศรษฐกิจในสหรัฐ รวมทั้งความเสี่ยงจากความตึงเครียดในคาบสมุทรเกาหลี และการเลือกตั้งของฝรั่งเศสรอบสองในวันที่ 7 พฤษภาคมนี้
ถึงแม้ว่าทรัมป์จะพยายามปลุกกระแสการลงทุนในตลาดหุ้น ด้วยการสั่งทีมเศรษฐกิจของทำเนียบขาวใช้มาตรการตัดลดภาษีนิติบุคคลจาก 35% ลงเหลือแค่ 15%แต่นักวิเคราะห์กลับเมินและมองข้ามกระแสข่าวนี้ โดย Citi Group ไม่เชื่อว่าจะดำเนินการได้จริงในการพบปะเจรจากันระหว่างทรัมป์และทีมงาน กับประธานสภาผู้แทนราษฎรและประธานวุฒิสภาในวันอังคารตามเวลาสหรัฐ
ขณะที่บรรยากาศของสงครามการค้าเริ่มเปิดศึกระหว่างสหรัฐและแคนาดา ซึ่งทรัมป์ประกาศว่าไม่เคยกลัวหากจะเกิดขึ้น หลังจากที่มีคำสั่งประธานาธิบดีให้ตั้งกำแพงถาษีสูงถึง 24% ในการจัดเก็บจากสินค้าไม้เนื้ออ่อน (Softwood) ที่มีการนำเข้าจากแคนาดา เนื่องจากในปี 2015 ที่ผ่านมาสหรัฐมีการขาดดุลกับแคนาดาสูงถึง 1.5 หมื่นล้านดอลลาร์

1.หุ้นเทคโนโลยีหนุน Nasdaq ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์พุ่งทะลุ 6,000 ขณะที่ผลประกอบการดีขึ้นของ Caterpillar-McDonald ดันดาวโจนส์ทะยานแตะ 21,000 อีกครั้ง หลังจากเกิดภาวะการเคลื่อนไหวที่ชะงักค้างมาตั้งแต่ต้นเดือนเมษายน ท่ามกลางสถานการณ์ความเสี่ยงทั้งจากปัจจัยการเมืองและเศรษฐกิจทั้งในสหรัฐและต่างประเทศดาวโจนส์ปิดตลาดพุ่งทะยานขึ้นกว่า 232 จุดหรือ 1.12% จนกระทั่งทะลุระดับ 21,000 ก่อนปิดที่ 20,996 เนื่องจากแรงหนุนผลประกอบการที่ดีขี้นโดยเฉพาะบริษัทจดทะเบียนรายใหญ่อย่างเช่น Caterpillar Inc และ McDonalds Corp ที่มีผลต่อการพุ่งขึ้นของดัชนีถึง 100 จุด โดยที่ Caterpillar Inc ปิดตลาดพุ่งขึ้น 7.9% หลังจากบริษัทเปิดเผยฐานะรายได้อยู่ที่ระดับ 9.82 พันล้านดอลลาร์ สูงกว่าคาดการณ์ที่ 9.27 พันล้านดอลลาร์ ส่วน McDonalds Corp พุ่งขึ้น 5.6% จากการเปิดเผยรายได้อยู่ที่ 5.68 พันล้านดอลลาร์ สูงกว่าคาดการณ์ที่ 5.53 พันล้านดอลลาร์
ทั้งนี้ดาวโจนส์เคยทำสถิติที่ระดับ 21,000 เมื่อวันที่ 1 มีนาคมปีนี้ ในช่วงที่ระธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กล่าวแถลงนโยบายต่อสภา หลังจากนั้นก็ตกต่ำลงจากปัจจัยความไม่แน่นอนต่างๆ จนเกิดภาวะชะงักค้างในการเคลื่อนไหวของดัชนี อย่างไรก็ตาม ยังมีแรงหนุนจากหุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่ที่ทำให้ดัชนี NASDAQ ปิดทะยานขึ้นทำสถิติใหม่ที่ 6,025 เพิ่มขึ้น 0.70% ส่วน S&P500 ปิดที่ 2,388 เพิ่มขึ้น 0.61%

2.นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับปัจจัยบวกจากข้อมูลเศรษฐกิจบางด้านของสหรัฐ บวกกับความหวังที่ว่า ทรัมป์จะเปิดเผยมาตรการปรับลดภาษีในวันพุธนี้ แต่นักวิเคราะห์ของ Citi Group กลับไม่เชื่อว่าจะดำเนินการได้จริงในการพบปะเจรจากันระหว่างทรัมป์และทีมงาน กับประธานสภาผู้แทนราษฎรและประธานวุฒิสภาในวันอังคารตามเวลาสหรัฐ
ถึงแม้ว่าทรัมป์จะพยายามปลุกกระแสการลงทุนในตลาดหุ้น ด้วยการสั่งทีมเศรษฐกิจของทำเนียบขาวใช้มาตรการตัดลดภาษีนิติบุคคลจาก 35% ลงเหลือแค่ 15%แต่นักวิเคราะห์กลับเมินและมองข้ามกระแสข่าวนี้ โดยที่นักลงทุนยังรอดูข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐที่จะมีการเปิดเผยในสัปดาห์นี้ ทั้งเรื่องดุลการค้าเดือนมีนาคม การทำสัญญาขายบ้านที่รอปิดการขาย และตัวเลขจีดีพีไตรมาสแรกนี้

3.ขณะที่บรรยากาศของสงครามการค้าเริ่มเปิดศึกระหว่างสหรัฐและแคนาดา ซึ่งทรัมป์ประกาศว่าไม่เคยกลัวหากจะเกิดขึ้น หลังจากที่มีคำสั่งประธานาธิบดีให้ตั้งกำแพงถาษีสูงถึง 24% ในการจัดเก็บจากสินค้าไม้เนื้ออ่อน (Softwood) ที่มีการนำเข้าจากแคนาดา เนื่องจากในปี 2015 ที่ผ่านมาสหรัฐมีการขาดดุลกับแคนาดาสูงถึง 1.5 หมื่นล้านดอลลาร์
แนวโน้มของสงครามการค้าอาจมีแนวโน้มขยายในวงกว้างมากขึ้นถึงธุรกิจนำเข้าเหล็กกล้าที่สหรัฐเตรียมตั้งกำแพงภาณีสูงถึง 50% โดยพุ่งเป้าไปที่จีนเป็นหลักเนื่องจากจีนสามารถทำรายได้นับพันล้านดอลลาร์จากธุรกิจดังกล่าว ซึ่งนักลงทุนคาดว่าอาจเป็นวันหนึ่งวันใด ถัดจากกรณีของแคนาดาอย่างแน่นอน


4.นักวิเคราะห์ยังคงเชื่อว่า อีกปัจจัยหนึ่งที่เป็นแรงหนุนให้ตลาดหุ้นยังจะสามารถปรับตัวขึ้นไปมาจากการที่ธนาคารกลางสำคัญของโลกมีการอัดฉืดเงินเข้าสู่ตลาดการเงินโลกในปริมาณสูงถึง 2 แสนล้านดอลลาร์ต่อเดือน โดยเฉพาะในการประชุมของธนาคารกลางญี่ปุ่นในสัปดาห์นี้ที่คาดว่าจะคงดอกเบี้ยในระดับต่ำต่อไป หลังจากที่อัตราผลตอบแทนบอนด์รัฐบาลญี่ปุ่นที่เริ่มติดลบ 0.03% อีกครั้ง
ส่วนท่าทีของธนาคารกลางยุโรปยังคงมีแนวโน้มผลีกดียมาตรการพิเศษในการอัดฉีดเงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจยูโรปหลังจากที่การพื้นตัวของจีดีพียังเกิดขึ้นอย่างเชื่องช่า


5.นอกจากนี้ นักลงทุนยังจับตาตลาดหุ้นจีนที่เสี่ยงต่อการไหลออกของเงินทุนระลอกใหญ่อีก หลังจากที่เม็ดเงินที่ไหลทะลักเข้าถึง 1.7 ล้านล้านดอลลาร์ตั้งแต่ปี 2009 ได้หันทิศทางกลับเป็นการไหลออกแทน ซึ่งจะส่งผลเป็นความเสี่ยงขาลงทั้งภาวะการลงทุนในตลาดหุ้นและตลาดบอนด์ในปี 2017

logoline