เครือข่ายประชาชนปฏิรูปพลังงานไทย แถลงการณ์คัดค้านกฎหมายปิโตรเลียม ที่กำลังจะนำ ร่าง พระราชบัญญัติปิโตรเลียม และ ร่างพระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม ทั้ง2ฉบับ เข้าที่ประชุมในวันที่30มีนาคม เพื่อให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติ พิจารณาลงมติให้ความเห็นชอบ โดยมี รสนา โตสิตระกูล อดีตสมาชิกวุฒิสภา , ธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ตัวแทนของเครือข่ายประชาชนปฏิรูปพลังงานไทย ระบุว่าประเด็นสำคัญในการคัดค้านในครั้งนี้ สืบเนื่องมาจากการให้สัมปทานปิโตรเลียมกว่า 40 ปีที่ผ่านมา กำลังจะหมดอายุ และไม่สามารถจะต่ออายุสัญญาสัมปทานได้อีกตาม พรบ.ปิโตรเลียม ฉบับเดิม มีแหล่งปิโตรเลียม2แหล่ง คือ แหล่งเอราวัณ จะหมดอายุสัญญาสัมปทานในปี2565 และแหล่งบงกช ที่จะหมดอายุสัญญาสัมปทานในปี 2566 โดยทั้งแหล่งเอราวัณและบงกชนั้นถือเป็นแหล่งปิโตรเลียมที่มีปริมาณก๊าซธรรมชาติรวมกันมากที่สุดในประเทศไทย หากอยู่ภายใต้กฎหมายเดิมที่ไม่สามารถต่ออายุสัมปทานใน 2 แหล่งนี้ให้กับผู้รับสัมปทานรายเดิม ทรัพย์สินทั้งหมดของผู้รับสัมปทาน ทั้งแท่นขุดเจาะปิโตรเลียมและอุปกรณ์ที่ใช้ในการสำรวจและผลิตปิโตรเลียม ตลอดจนปิโตรเลียมจากทั้ง ๒ แหล่งนี้ จะตกเป็นกรรมสิทธิ์อย่างสมบูรณ์แก่รัฐครั้งแรกในประวัติศาสตร์ชาติไทย แต่แทนที่ทรัพย์สมบัติและปิโตรเลียมของชาติหลังจากหมดอายุสัญญาสัมปทานจะกลับมาเป็นของรัฐ กลับปรากฏว่าร่าง พรบ.ปิโตรเลียมที่กำลังจะพิจารณาผ่านความเห็นชอบจากสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ทำให้เกิดการผูกขาด เอื้อประโยชน์ให้กับผู้รับสัมปทานรายเดิม ไม่ทำให้เกิดการแข่งขันอย่างเสรี เกิดการใช้ดุลพินิจมาก และทำให้อธิปไตยทางพลังงานตกเป็นของเอกชนรายเดิมต่อไป
ส่วนกรณีที่มีกระแสข่าวว่า เครือข่ายประชาชนปฏิรูปพลังงานไทย ต้องการเข้าไปมีประโยชน์นั่งเป็นกรรมการในบรรษัทน้ำมันแห่งชาติเพื่อประโยชน์ส่วนตนนั้น กรรมการของเครือข่ายประชาชนปฏิรูปพลังงานไทย (คปพ.) จึงขอยืนยันประกาศปฏิเสธไม่รับตำแหน่งกรรมการในบรรษัทน้ำมันแห่งชาติที่จะจัดตั้งขึ้นใหม่ทั้งสิ้นโดยในช่วงท้าย นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ได้นำ "หน้ากากลุงตู่" ขึ้นมาสวม พร้อมตั้งคำถามว่า "ภายใต้หน้ากากนี้ เค้าเป็นใครกันแน่" ที่ ห้องประชุมอนุสรณ์สถาน 14 ตุลา สี่แยกคอกวัว (28 มี.ค. 2560