svasdssvasds
เนชั่นทีวี

เศรษฐกิจ

ลอนดอนเริ่มใช้ Autilla platform สัปดาห์นี้ หวังสกัดขบวนการปั่นราคาทองคำ

20 กุมภาพันธ์ 2560
เกาะติดข่าวสาร >> Nation Story
logoline

ตลาดค้าทองในลอนดอนทดสอบระบบซื้อขายใหม่สกัดการปั่นราคาทอง โดยใช้ระบบที่ชื่อว่า Autilla platform ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา เพื่อให้เกิดความโปร่งใสและสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน สำหรับตลาดค้าทองที่มีการซื้อขายจริงซึ่งมีมูลค่าสูงถึงปีละ 5 ล้านล้านดอลลาร์ ก่อนที่จะเปิดให้มีการซื้อขายจริงในสัปดาห์นี้ หลังจากได้มีการรื้อระบบเดิมที่ถูกมองว่า เปิดโอกาสให้เทรดเดอร์รายใหญ่เข้ามามีบทบาทในการกำหนดราคาทองที่ไม่เป็นธรรม


ขณะที่นักวิเคราะห์จากยุโรปทั้ง BNP Paribas และ Barclays เตือนว่าตลาดหุ้นสหรัฐจะอยู่ในช่วงขาลงในช่วงไม่นานนัก โดย BNP Paribas คาดในอีก 6 เดือนข้างหน้า ดัชนี S&P 500 อาจร่วงลงถึง 12% ส่วน Barclays คาดภาวะการลงทุนในยุคทรัมป์คล้ายช่วงเรแกนที่มีการปรับลดภาษีหนุนราคาหุ้นระยะสั้นในปี 1986 ก่อนที่จะเจอกับแรงเทขายอย่างหนักในช่วง Black Monday เดือนตุลาคม 1987
ทางด้านกูรูค้าเงินเตือนทั่วโลกมีความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะขาดแคลนเงินดอลลาร์เหมือนกับช่วงปี 2009 หลังจากมีการประเมินราคาสูงขึ้นเนื่องจากแนวโน้มที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะมีการปรับขี้นดอกเบี้ย

1.หลังจากได้มีการรื้อระบบเดิมที่ถูกมองว่า เปิดโอกาสให้เทรดเดอร์รายใหญ่เข้ามามีบทบาทในการกำหนดราคาทองที่ไม่เป็นธรรม ตลาดค้าทองในลอนดอนเริ่มการทดสอบระบบซื้อขายใหม่ชื่อว่า Autilla platform ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา เพื่อทำให้เกิดความโปร่งใสและสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน สำหรับตลาดค้าทองที่มีการซื้อขายที่เปลี่ยนมือกันจริง ซึ่งมีมูลค่าสูงถึงปีละ 5 ล้านล้านดอลลาร์ ก่อนที่จะเปิดให้มีการซื้อขายจริงในสัปดาห์นี้
โดยที่ตลาดซื้อขายทองในลอนดอนจะมีมาตรการที่เข้มงวดในการตรวจสอบ และมีการเชื่อมโยงกับเครือข่ายของ London Bullion Market Association ซึ่งมีสมาชิกที่มีบทบาทสำคัญประกอบด้วย JPMorgan Chase, HSBC Holdings และ ICBC Standard Bank
ในอดีตที่ผ่านมา ตลาดค้าทองคำในลอนดอนซึ่งเคยได้รับการยกย่องว่ามีความสำคัญมากที่สุดในการอ้างอิงราคาของตลาดค้าทองคำโลก แต่ปล่อยให้เทรดเดอร์รายใหญ่เข้ามามีบทบาทผูกขาดและแทรกแซงในการปั่นราคาทอง จนทำให้นักลงทุนขาดความน่าเชื่อถือ จนส่งผลให้ต้องลดบทบาทความสำคัญลงไป ขณะที่ตลาดซื้อขายทองจริงมีความโดดเด่นอยู่ที่ตลาดค้าทองในเซี่ยงไฮ้-ฮ่องกง เข้ามาแทนที่ในปัจจุบัน


2.ขณะที่ราคาหุ้นที่ผันผวนในตลาดหุ้นสหรัฐส่งผลให้กองทุนเฮดจ์ฟันด์ที่เดิมพันว่าตลาดหุ้นจะอยู่ในช่วงขาลง จนเกิดภาวะขาดทุนถึงสัปดาห์ละ 600 ล้านดอลลาร์ หรือราว 15% ของวงเงินที่เข้ามาลงทุน 3.4 พันล้านดอลลาร์นับตั้งแต่ที่โดนัลด์ ทรัมป์ ชนะเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดี ซึ่งตรงกันข้ามกับดัชนีราคาหุ้น S&P 500 มีการพุ่งขึ้นถึง 9.7% นับตั้งแต่วันที่ 8 พฤศจิกายนที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม BNP Paribas ของฝรั่งเศสวิเคราะห์เตือนว่า ตลาดหุ้นสหรัฐในช่วง 6 เดือนข้างหน้า เริ่มมีสัญญาณการปรับตัวในทิศทางขาลงได้ถึง 12% เนื่องจากมีการมองว่า การที่อัตราดอกเบี้ยระยะสั้นที่จะมีการปรับตัวขึ้นจะส่งผลต่อผลประกอบการของบริษัทในตลาดหุ้น ซึ่งจะส่งผลให้มีการโยกเม็ดเงินลงทุนออกจากตลาดหุ้น
ส่วน Barclays ของอังกฤษ ชี้ว่าข่าวการปรับลดภาษีของทรัมป์ที่ส่งผลให้คำสั่งซื้อระยะสั้นเข้าตลาด 85-90% นั้นจะส่งผลให้ตลาดพุ่งขึ้นในระยะสั้นเช่นกัน แต่หลังจากนั้นก็จะร่วงลง โดยลักษณะการลงทุนแบบเดียวกันนี้เคยเกิดขึ้นในช่วงปี 1986 ในช่วงของประธานาธิบดีเรแกนที่มีการปรับลดภาษี แล้วส่งผลให้ตลาดหุ้น S&P 500 แรลลี่ทะยานขึ้นถึง 40% แต่หลังจากนั้นก็เกิดเหตุการณ์ Black Monday ในปี 1987

3.Alhambra Partners' Jeffrey Snider กูรูค้าเงินเตือนทั่วโลกมีความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะขาดแคลนเงินดอลลาร์เหมือนกับช่วงปี 2009 หลังจากมีการประเมินราคาสูงขึ้นเนื่องจากแนวโน้มที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะมีการปรับขี้นดอกเบี้ย
โดยที่ภาวะการขาดแลนดอลลาร์ในครั้งนั้น เฟดต้องอัดฉีดเงินดอลลาร์เพื่ออุ้มทั้งโลก และเพื่อให้ทั่วโลกที่ถือครองดอลลาร์ในมือมีสภาพคล่อง โดยในครั้งที่เกิดวิกฤติการเงินในสหรัฐที่ลามกระทบไปทั่วโลกนั้น ทางกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ประเมินว่า เฟดได้อัดฉีดเงินดอลลาร์ให้ธนาคารกลางต่างประเทศเป็นจำนวน 1-1.2 ล้านล้านดอลลาร์
วงเงินสภาพคล่องดังกล่าว เป็นการช่วยแบงก์ในยุโรปที่ประสบปัญหาวิกฤติการเงินเช่นเดียวกันในการให้กู้ยืมผ่าน interbank market จำนวน 4.32 แสนล้านดอลลาร์ เป็นการให้กู้กับธนาคารกลางต่างๆ อีก 3.86 แสนล้านดอลลาร์ และยังเปิดสว็อปไลน์ในการแปลงสกุลเงินล่วงหน้าอีก 3.15 แสนล้านดอลลาร์ ขณะที่ความต้องการเงินดอลลาร์ในส่วนที่ไม่ใช่สถาบันการเงินมีมากถึง 6.5 ล้านล้านดอลลาร์


4.สินเชื่อรถยนต์ในสหรัฐส่อสัญญาณเกิดภาวะฟองสบู่ โดยยอดเงินสินเชื่อพุ่งขึ้นแตะ 1.1 ล้านล้านดอลลาร์ สูงสุดนับจากปี 2009 ที่เกิดวิกฤติการเงินสหรัฐ ขณะที่ความต้องการซื้อรถยนต์ของคนอเมริกันเริ่มลดลงในช่วง 2 เดือนต่อเนื่องกันในช่วงที่ผ่านมา
โดยที่ลักษณะการพุ่งขึ้นของสินเชื่อรถยนต์มาจากความต้องการที่เพิ่มขึ้นของคนอเมริกันกว่า 220 ล้านคน ส่งผลให้อัตราขยายตัวของสินเชื่อสูงจาก 13% ถึง 1.44% ในแ 2016 คล้ายคลึงกับช่วงที่เคยเกิดวิกฤติซับไพรม์ในปี 2008


5.ช๊อควงการหุ้นโลก หลังจากที่ยูนิลีเวอร์ปฏิเสธข้อเสนอควบรวมกิจการกับคร๊าฟท์-ไฮน์ซของสหรัฐที่มีมูลค่าสูงถึง 1.43 แสนล้านดอลลาร์ หลังจากที่มีการประกาศการเจรจาเพื่อควบรวมกิจการกันอย่างเป็นทางการมาตั้งแต่วันที่ 25 มีนาคม 2015 แต่กลับส่งผลให้ราคาหุ้นของยูนิลีเวอร์พุ่งขึ้นทันที 14% เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา
ทั้งนี้ มีการคาดการณ์กันว่า หากการควบรวมกิจการสำเร็จ ก็จะกลายเป็นบริษัทอาหารที่ใหญ่ที่สุดอันดับ 5 ของโลก ที่มีมูลค่าจากการจำหน่ายต่อปีมากถึง 2.8 หมื่นล้านดอลลาร์

logoline