svasdssvasds
เนชั่นทีวี

เศรษฐกิจ

"ทรัมป์" เตรียมลดภาษีครั้งใหญ่ หนุนดาวโจนส์ทำนิวไฮทะลุ 20,611

16 กุมภาพันธ์ 2560
เกาะติดข่าวสาร >> Nation Story
logoline

ทรัมป์ยืนยันแผนลดภาษีครั้งใหญ่จะเกิดขึ้นเร็วๆ นี้หลังจากพบปะ CEOs กลุ่มธุรกิจค้าปลีกรายใหญ่ของสหรัฐ โดยจะลดภาษีจากอัตรา 35% เหลือ 20% ซึ่งจะส่งผลให้รัฐขาดรายได้ถึง 2 ล้านล้านดอลลาร์ในช่วง 10 ปีข้างหน้า แต่จะช่วยภาคธุรกิจและการจ้างงานนับล้านคน โดยข่าวที่ออกมาผลักดันดาวโจนส์พุ่งทะลุระดับ 20,600 เมื่อวันพุธ ทั้งนี้ CEOs กลุ่มธุรกิจค้าปลีกได้ทวงถามทรัมป์ถึงแผนเก็บภาษีนำเข้าสินค้าข้ามพรมแดน หรือ Border Tax ส่งผลกระทบด้านลบต่อการค้าปลีก แต่กลับไม่ได้รับคำอธิบายใดๆ

ขณะที่ปัญหาความตึงเครียดทางการเมืองและจากความเห็นต่างในเรื่องการกีดกันทางการของผู้นำสหรัฐกับผู้นำหลายประเทศในยุโรปเริ่มเป็นอุปสรรคต่อการเจรจาขายแบรนด์รถยนต์โอเปิลของเจนเนอรัล มอร์เตอร์ส จากสหรัฐ ให้กับค่ายรถเปอโยต์ของฝรั่งเศสเริ่มสะดุดและเจอกับแรงต่อต้าน
กระทรวงการคลังสหรัฐเผยฐานะบอนด์รัฐบาลสหรัฐเผชิญแรงขายจากธนาคารกลางต่างประเทศในปี 2016 ที่ผ่านมาเป็นมูลค่ากว่า 4 แสนล้านดอลลาร์ โดยธนาคารกลางจีนขายบอนด์รัฐบาลสหรัฐทั้งปีที่แล้วเป็นมูลค่าถึง 1.88 แสนล้านดอลลาร์ ลดสัดส่วนการถือครองเป็นเจ้าหนี้ลงกลายเป็นเบอร์ 2 เหลือ 1.05 ล้านล้านดอลลาร์ รองจากญี่ปุ่นที่ถือครองเป็นเจ้าหนี้รายใหญ่ที่สุด 1.09 ล้านล้านดอลลาร์ ส่งผลต่อบอนด์ยีลด์อายุ 10 ปีพุ่งขึ้นจาก 1.3% เป็น 2.6% เมื่อสิ้นปีที่ผ่านมา
1.ในการพบปะระหว่างประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กับกลุ่ม CEOs ธุรกิจค้าปลีกขนาดใหญ่ โดยเขาให้สัมภาษณ์ถึงแผนการลดภาษีเงินได้ธุรกิจจากอัตรา 35% เหลือแค่ 20% จะเกิดขึ้นในเร็วๆ นี้ แม้จะส่งผลให้รัฐขาดรายได้ถึง 2 ล้านล้านดอลลาร์ในช่วง 10 ปีข้างหน้านี้ แต่จะช่วยภาคธุรกิจและการจ้างงานชาวอเมริกันนับล้านคน แต่ขณะที่บรรดา CEOs ธุรกิจค้าปลีกต้องการทวงถามทรัมป์ถึงแผนเก็บภาษีนำเข้าสินค้าข้ามพรมแดน หรือ Border Tax สูงถึง 35% นั้น จะส่งผลด้านลบต่อการค้าปลีกภายในสหรัฐ ซึ่งทรัมป์กลับไม่ยอมให้คำอธิบายใดๆ 
กระแสข่าวแผนการลดภาษีของทรัมป์ได้หนุนให้ตลาดหุ้นเคลื่อนไหวปรับตัวพุ่งขึ้นรวดเร็ว โดยดาวโจนส์ปิดยืนเหนือ 20,611 เพิ่มขึ้น 107 จุดหรือ 0.52% ส่วน S&P 500 ปิดที่ 2,349 บวกอยู่ 0.5% ขณะที่ Nasdaq พุ่งทะลุระดับ 5,800 ปิดที่ 5,819 เพิ่มขึ้นถึง 0.64% ทางด้านหุ้นยุโรปมีการทรงตัวเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 0.45%
2.เจนเนอรัล มอเตอร์ส หรือ GM ของสหรัฐที่อยู่ระหว่างเจรจาขายแบรนด์รถยนต์ Opel/Vauxhall ที่จำหน่ายอยู่ในยุโรปให้กับ พีเอสเอ กรุ๊ป ผู้ผลิตรถยนต์เปอโยต์-ซีตรอง ของค่ายรถยนต์ฝรั่งเศสที่มีขนาดใหญ่เป็นเบอร์ 2 รองจากโฟล์คสวาเกนของเยอรมัน กำลังเจอปัญหาข้อกังวลจากแรงต่อต้านทางการเมืองในยุโรป โดยเฉพาะในช่วงใกล้เลือกตั้งทั้งจากฝรั่งเศสและเยอรมันที่จะมีขึ้นในเดือนเมษายนและดันยายน ตามลำดับ
หลังจากที่ทรัมป์เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐ มีการวิพากษ์วิจารณ์ผู้นำประเทศในยุโรป โดยเฉพาะพุ่งเป้าไปที่แองเกลา เมอร์เคิล นายกรัฐมนตรีเยอรมันในเรื่องนโยบายเปิดเสรีรับผู้อพยพอย่างรุนแรง การต่อต้านนโยบายของนาโต้ รวมทั้งนโยบายกีดกันทางการค้า หรือท่าทีการเรียกร้องให้ฝรั่งเศสและอีกหลายประเทศให้ถอนตัวจากสหภาพยุโรปตามแบบอย่าง Brexit จนเกิดเป็นแนงต่อต้านทางการเมืองขณะนี้ และส่งผลเป็นอุปสรรคต่อการเจรจาซื้อขายแบรนด์รถโอเปิลให้กับค่ายเปอโยต์ในขณะนี้ ทั้งที่ทั้งสองฝ่ายได้เริ่มหารือกันถึงการควบรวมกิจการมาตั้งแต่ปี 2013 แต่ยังไม่ประสบความสำเร็จ   
3.ขณะที่บอนด์รัฐบาลสหรัฐต้องเผชิญกับแรงขายอย่างหนักนับตั้งแต่เดือนสิงหาคมปีที่แล้วจนถึงสิ้นปี ทั้งที่มาจากการขายของกองทุนเฮดจ์ฟันด์ และธนาคารกลางของประเทศต่างๆ ที่ถือครองไว้เป็นเงินทุนสำรองนั้น ล่าสุดกระทรวงการคลังสหรัฐเปิดเผยฐานะบอนด์รัฐบาลสหรัฐที่มีแรงเทขายจากธนาคารกลางต่างประเทศในปี 2016 ที่ผ่านมาเป็นมูลค่ากว่า 4 แสนล้านดอลลาร์ โดยธนาคารกลางจีนขายบอนด์รัฐบาลสหรัฐทั้งปีที่แล้วเป็นมูลค่าภึง 1.88 แสนล้านดอลลาร์ ลดสัดส่วนการเป็นถือครองเป็นเจ้าหนี้ลงกลายเป็นเบอร์ 2 เหลือ 1.05 ล้านล้านดอลลาร์ รองจากญี่ปุ่นที่ถือครองป์นเจ้าหนี้รายใหญ่ที่สุด 1.09 ล้านล้านดอลลาร์ จนส่งผลต่อบอนด์ยีลด์อายุ 10 ปีพุ่งขึ้นจาก 1.3% เป็น 2.6% เมื่อสิ้นปีที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตามมีรายงานว่า สัญญานการขายจากธนาคารกลางต่างประเทศได้หยุดลงเมื่อเดือนมกราคม ทำให้บอนด์ยีลด์ 10 ปีอ่อนตัวลงที่ 2.29% แต่แรงเทขายได้เกิดขึ้นอีกระลอกตั้งแต่สัปดาห์ก่อนส่งผลให้บอนด์ยีลด์ผันผวนดีดตัวกลับสูงขึ้นที่ 2.49% เมื่อวันพุธ
4.โกลด์แมน แซคส์ ให้น้ำหนักการที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะขึ้นดอกเบี้ยในรอบการประชุมเดือนมีนาคมนี้ เป็น 30% จากเดิมที่ให้น้ำหนักเพียง 20% เนื่องจากสัญญาณเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นสูงสุดในรอบ 5 ปี โดยในเดือนมกราคมปีนี้ อัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน หรือ Core Inflation ของสหรัฐเพิ่มขึ้น 0.31% จากเดือนก่อนหน้า แต่เพิ่มขึ้นถึง 2.3% จากระดับเดียวกันในปีก่อน ส่วนดัชนีผู้ผลิตเพิ่มขึ้น 0.33% จากเดือนก่อน โดยเพิ่มขึ้น 1.8% จากระดับเดียวกันปีที่แล้ว
5.ขณะที่เจเน็ต เยลเลน ประธานเฟด ได้กล่าวแถลงรายงานภาวะเศรษฐกิจสหรัฐประจำปี 2017 เป็นเวลา 2 วันเมื่อวันอังคารและวันพุธ ทั้งต่อสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสถา ส่งสัญญาณว่าเฟดจะไม่รีรอให้เนิ่นนานในการตัดสินที่จะขึ้นดอกเบี้ย หากเงื่อนไขทางเศรษฐกิจที่เฟดเฝ้ามองดูทั้งในเรื่องของอัตราการว่างงานและอัตราเงินเฟ้อมีการเปลี่ยนแปลงในทิศทางใดทิศทางหนึ่งที่มีความชัดเจน แต่เฟดก็ยังบอกไม่ได้แน่นอนว่าจะมีการปรับขึ้นดอกเบี้ยเมื่อใด 
โดยการส่งสัญญาณของประธานเฟดดังกล่าว ทำให้ตลาดตีความว่าจะส่งผลเป็นแรงกดดันต่อการปรับขึ้นของราคาหุ้นในอนาคต โดยเฉพาะผลกระทบต่อบอนด์ยืลด์ 10 ปีของรัฐบาลสหรัฐล่าสุดที่พุ่งทะลุ 2.5% อีกครั้งหนึ่งเนื่องจากถ้อยแถลงของเจเน็ต เยลเลน ทำให้มีการถล่มขายบอนด์สหรัฐระลอกใหม่เมื่อตลาดเก็งกันว่า อัตราดอกเบี้ยจะขยับขึ้นในอนาคตซึ่งอาจจะเป็นเดือนมิถุนายนไปจนถึงช่วงครึ่งหลังปีนี้จาก 0.75% เป็น 1.25-1.5%  

logoline