svasdssvasds
เนชั่นทีวี

เศรษฐกิจ

ธ.กลางยุโรปแก้ปัญหายูโรโซน ขยายเวลา QE ไปจนถึงสิ้นปี 2017

09 ธันวาคม 2559
เกาะติดข่าวสาร >> Nation Story
logoline

ECB ตัดสินใจทำ "Big Shock" ประกาศยืดเวลา QE ออกไปอีก 9 เดือนเริ่มเดือนเมษายน จนถึงธันวาคม 2017 แต่ลดวงเงินซื้อบอนด์และสินทัรพย์ทางการเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจยูโรโซนจากเดือนละ 8 หมื่นล้านยูโร เหลือเดือนละ 6 หมื่นล้านยูโร โดยคงดอกเบี้ยเงินฝากที่ -0.4% และดอกเบี้ยเงินกู้อ้างอิงที่ 0.25%

การตัดสินใจต่ออายุ รอบใหม่ของ ECB ส่งผลต่อความผันผวนในตลาดการเงินโลก โดยไม่ได้ช่วยค่าเงินยูโรที่กลับอ่อนตัวลงอีกที่ 1.06 ดอลลาร์ต่อยูโรหลังมราแข็งค่าที่ 1.0777 ดอลลาร์เมื่อวันพุธ ขณะที่ตลาดบอนด์ยังคงมีการเทขายต่อเนื่อง จนราคาบอนด์ตกต่ำลงอีก แต่ผลักดันผลตอบแทนปรับตัวสูงขึ้นทั้งบอนด์ยีลด์ของเยอรมันเพิ่มขึ้นเป็น 0.33% อิตาลีพุ่งขึ้นที่ 1.99% ส่วนบอนด์ยีลด์ 10 ปีของรัฐบาลสหรัฐพุ่งขึ้นต่อที่ 2.38% ขณะที่ตลาดหุ้นทั้งในยุโรปและสหรัฐปรับตัวขึ้นเป็นสีเขียวทั้งกระดาน โดยเฉพาะดัชนีดาวโจนส์ที่นักลงทุนตามลุ้นว่าเหลืออีกไม่ถึง 400 จุดก็จะทะลุระดับ 20,000
1.ในที่สุดความพยายามของสายเหยี่ยวในบอร์ดของธนาคารกลางยุโรป หรือ ECB ที่จะถอนโปรแกรมใช้เงิน QE ก็ต้องเก็บเข้ากระเป๋า โดยที่สายพิราบชนะในการยึดเวลาทำ QE ต่อไปซึ่งจะส่งผลให้การปั๊มเงิน QE ในงบดุลของ ECB เพื่ออัดฉีดเม็ดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจและประคับประคองวิกฤติหนี้สาธารณะในกลุ่มยูโรโซน รวมทั้งกอบกู้วิกฤตการณ์ระบบธนาคาร บานปลายเพิ่มขึ้นเป็น 2.2 ล้านล้านยูโร หรือ 2.4 ล้านล้านดอลลาร์ จากระดับปัจจุบันที่ ECB มีฐานะการปั๊มเงิน QE อยู่ที่ 1.7 ล้านล้านยูโรหรือ 2.2 ล้านล้านดอลลาร์
โดยมาริโอ ดรากี ประธาน ECB ใช้เวลา 45 นาทีในการแถลงข่าวภายหลังการประชุม ถึงแม้ว่า 80% ของนักวิเคราะห์จะโน้มเอียงหนุนนโยบายผ่อนคลายทางการเงินอย่างต่อเนื่อง แต่นักเศรษฐศาสตร์อีกส่วนหนึ่งยังเป็นห่วงต่อปัญหาเงินเฟ้อที่อาจจะเร่งตัวขึ้นในปี 2018 ถึงระดับ 1.6% แม้ว่าในเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา เงินเฟ้อยังอยู่ที่ 0.6% และเดือนก่อนหน้าอยู่ที่ 0.4% ก็ตาม ความกังวลนี้ยังรวมไปถึงการอ่อนค่าของเงินยูโรที่อาจจะตกต่ำลงรุนแรงในอนาคต ขณะที่ภาพรวมเศรษฐกิจยังคงชะลอตัวลง

2. ผลจากการขยายเวลา QE ขอล ECB ทำหเงินไหลเข้าในตลาดหุ้นมากขึ้น โดยที่ดัชนีราคาหุ้นมรการปรับตัวขึ้นสูงต่อเนื่องเฉลี่ย 1.39% ในตลาดหุ้นยุโรป ที่นำโดย DAX เยอรมันพุ่งขึ้น 1.75% CAC 40 ฝรั่งเศสเพิ่มขึ้น 0.87% และ FTSE 100 อังกฤษเพิ่มขึ้น 0.42%
ส่วนหุ้นสหรัฐยังคงเดินหน้าทำสภิจิสูงสุดใหม่ ดัชนีดาวโจนส์ปิดที่ 19,614 เพิ่มขึ้น 65 หรือบวก 0.33% S&P 500 ปิดที่ 2,246 เพิ่มขึ้น 0.22% และ Nasdaq พุ่งทะลุ 5,400 สูงกว่า 5 ปีที่แล้วมากกว่าเท่าตัว โดยปิดที่ 5,417 เพิ่มขึ้น 0.44%

3. เจพี มอร์แกน แบงก์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของสหรัฐ เตือนว่า ปัจจัยเสี่ยงที่ส่งผลให้ภาวะตลาดการเงินเกิดความปั่นป่วนรุนแรงได้ บ่งชี้ว่าความกังวลอันดับแรกยังจับจ้องอยู่ที่การถอนนโยบายอัดฉีดเงินของบรรดาธนาคารกลาง ปัจจัยต่อมาคือการเร่งตัวขึ้นของราคาน้ำมันที่กลับมายืนเหนือ 50 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลอีกครั้ง และปัจจัยความเสี่ยงของเงินหยวนที่อ่อนค่าลงเรื่อยๆ
นอกจากนี้ เจพี มอร์แกน ได้มองถึงเชิงบวกจากการไหลกลับและแข็งค่าของเงินดอลลาร์ที่มีดัชนีค่าเงินหรือ Dollar Index ที่ยืนเหนือระดับ 100 จะส่งผลดีต่อราคาสินค้าโภคภัณฑ์ ผลตอบแทนการลงทุนที่เพิ่มขึ้นของตลาดหุ้นในกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ และการปรัยตัวที่สูงขึ้นของราคาหุ้น แต่ยังคงเตือนว่า ความเสี่ยงที่สูงขึ้นจากการที่บอนด์ยีลด์ 10 ปีของรัฐบาลสหรัฐที่จะปรับตัวสูงขึ้นถึง 2.75% หากนักลงทุนยังคงตื่นขายในตลาดบอนด์ทั่วโลก

4.โนมูระของญี่ปุ่นเผยแพร่บทวิเคราะห์ 10 ภาวะเสี่ยงที่อาจจะกระทบต่อตลาดการเงินโลกในปี 2017 ประกอบด้วย1. ภาวะสงครามของรัสเซียจากความตึงเครียดมากขึ้นในยุโรปตะวันออกและความขัดแย้งแถบทะเลบอลข่าน2. กำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นของสหรัฐอาจจะว่งผลต่อการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐมีมากขึ้น3. นโยบายปล่อยค่าเงินหยวนลอยตัวที่อาจจะมองเห็นเงินหยวนอ่อนตัวลงมีค่าต่ำสุดภายใน 12 เดือนข้างหน้า4. การถอนตัวออกจากสหภาพยุโรปของอังกฤษจะเกิดขึ้นจริงจากผลของ Brexit5. การใช้มาตรการควบคุมเงินทุนหรือ Capital Control ของหลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ที่มีมากขึ้น6.การเร่งตัวขึ้นของปัญหาเงินเฟ้อเนื่องจากราคาน้ำมันแพงขึ้น และจากการอ่อนค่าของเงืนเยน7. อาจเกิดวิกฤติในระบบการเคลียริ่งเพราะความชะงักงันของธุรกรรมทางการเงินอาจจะเกิดขึ้นในบางดีล8. ความคิดเห็นต่างของโดนัลด์ ทรัมป์ ที่มีต่อการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ9. นโยบาย Abenomics อาจใช้ไม่ได้ผลสำเร็จในการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลชินโซ อาเบะ และ10. สิ้นสุดการใช้ระบบเงินสดหลังตลาดการเงินโลกเพิ่มความเสี่ยงกับผู้ฝากเงินและผู้บริโภคที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายดอกเบี้ยติดลบ หรือ Negative Interest Rate
5.คะแนนนิยมนางปาร์ค กึน เฮ ปธน.เกาหลีใต้ ลดลงต่ำสุดเป็นประวัติการณ์เหลือเพียง 4% เท่านั้น ตรงกันข้ามกับช่วง 3 ปีแรกที่ได้รับเสียงสนับสูงถึง 50% ขณะที่นักศึกษาและประชาชนชาวเกาหลีใต้หลายพันคนออกมาประท่วงต่อต้าน และกดดันให้รัฐสภาเร่งเปิดประชุมเช้าวันนี้ตัดสินใจถอดถอนเธอออกจากตพแหน่งปธน.เกาหลีใต้ ขณะที่เงินวอนทรงตัวอ่อนค่าระดับ 1,164 ต่อดอลลาร์

logoline